วันที่ 26 พฤศจิกายน 2024

ชาวบ้านพอใจ “พล.อ.ประวิตร” พูดจริงทำจริง

People Unity News : 26 ธันวาคม 2565 “พล.อ.ประวิตร” ช่วย จ.เชียงราย มีน้ำใช้เพียงพอ พัฒนา “แก้มลิงเวียงหนองหล่ม – หนองมโนราห์” สำเร็จ ชาวบ้านพอใจ พูดจริงทำจริง พร้อมหนุนเป็นนายกฯ คนต่อไป

26 ธ.ค.65 เวลา 16.30 น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ในฐานะ ผอ.กอนช. และคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่ต่อเนื่อง จากช่วงเช้า โดยในช่วงบ่ายได้ไปประชุมติดตามการบริหารจัดการน้ำภาคเหนือ และความก้าวหน้าการพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ “เวียงหนองหล่ม” ณ หอประชุม เฉลิมพระเกียรติหนองมโนราห์ ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย

พล.อ.ประวิตร ได้รับฟังการบรรยายสรุปการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของภาคเหนือ และ จ.เชียงราย จาก นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผวจ.เชียงราย, สทนช.,กรมชลประทาน ซึ่งภาคเหนือมีพื้นที่ครอบคลุม 17 จังหวัด มีลำน้ำสำคัญได้แก่ ปิง วัง ยม น่าน สาละวิน และโขงเหนือ แหล่งน้ำมีปริมาณน้ำปัจจุบัน 21,908 ล้าน ลบ.ม. สำหรับ จ.เชียงราย มีปริมาณน้ำ 156 ล้าน ลบ.ม. ปัญหาภัยแล้งของจังหวัดมีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง 2 อำเภอได้แก่ อ.แม่สรวย และ อ.เวียงป่าเป้า การแก้ปัญหาด้านน้ำที่สำคัญจังหวัดได้รับงบกลางปี 65 (127 โครงการ) แผนบูรณาการฯ น้ำปี 65 (42 โครงการ) และโครงการสำคัญปี 66-67 อีก 7 โครงการ และยังมี 10 มาตรการรองรับฤดูแล้งปี 65/66 ควบคู่กับระบบ Thai Water Plan เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ

สำหรับ แก้มลิง “เวียงหนองหล่ม” พล.อ.ประวิตร ได้เคยสั่งการให้ สทนช. จังหวัดและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ขับเคลื่อนการพัฒนาให้ครอบคลุม ทุกมิติ (เมื่อ 23 ธ.ค.63) ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ฤดูแล้ง ในการทำน้ำประปา การเกษตร และเป็นแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานพัฒนาแหล่งน้ำ ”หนองมโนราห์” และงานซ่อมผิวทางจราจรรอบอ่าง โดยมีหน่วย นพค. 35 ดำเนินการแล้วเสร็จตามแผน ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายให้ สทนช. จังหวัดและทุกหน่วยงานให้เร่งรัดปฏิบัติตาม 10 มาตรการรองรับฤดูแล้ง และเร่งดำเนินงานที่รับผิดชอบให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์ ตามวัตถุประสงค์ทั้งเป็นแหล่งผลิตน้ำประปา การเกษตร การประมง และสามารถเป็นแหล่งส่งเสริมอาชีพ เพิ่มรายได้และการท่องเที่ยว ของจังหวัดด้วย

ตัวแทนชาวบ้าน ได้กล่าวขอบคุณ พล.อ.ประวิตร ที่ช่วยให้ชาวบ้านมีน้ำใช้อย่างเพียงพอและตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง พร้อมสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนต่อไป

Advertisement

นายกฯ กำชับติดตามราคาพลังงาน-เงินเฟ้อใกล้ชิด

People Unity News : 24 ธันวาคม 2565 “ธนกร” เผยนายกฯ กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้อง ติดตามราคาพลังงาน-เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด ย้ำต้องไม่กระทบค่าครองชีพ ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด เล็งปั้นไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาค รองรับตลาดยานยนต์ไฟฟ้าโลก

นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังคงติดตามสถานการณ์พลังงานไทยและโลกอย่างต่อเนื่อง แม้ที่ผ่านมาราคาน้ำมันโลกเริ่มปรับตัวลดลง แต่ยังคงมีความผันผวนสูง ทั้งจากการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ รวมทั้งการคาดการณ์ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลกที่มีแนวโน้มถดถอย ขณะที่ไทยยังสามารถเติบโตต่อเนื่อง ท่านนายกฯจึงกำชับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนบริหารจัดการพลังงานภายในประเทศอย่างสมดุล ต้องไม่ให้เกิดการขาดแคลนพลังงาน รวมทั้งราคาน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้าในประเทศต้องไม่กระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตและการบริการ ที่สำคัญต้องไม่เป็นภาระค่าครองชีพ ประชาชนต้องเดือดร้อนน้อยที่สุด ขณะเดียวกัน รัฐบาลเดินหน้าส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาค

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรียังวางอนาคตให้ไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน โดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ออกแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ตามนโยบาย 30@30 คือ การตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573 รวมถึงการส่งเสริมการผลิตรถสามล้อ เรือโดยสาร และรถไฟระบบรางอีกด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลยังมุ่งเพิ่มอุปทานและอุปสงค์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงชีวภาพ ผ่านมาตรการจูงใจด้านภาษีและนโยบายต่างๆที่เกี่ยวข้อง ให้มีการใช้ยานยนต์มลพิษต่ำในประเทศ รวมถึงส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิตในประเทศ และสร้างความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ลดภาษีประจำปีสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (BEV) ลง 80% เป็นระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่จดทะเบียน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป และลดภาษีประจำปีสำหรับรถยนต์รับจ้าง (แท็กซี่) รถยนต์สามล้อรับจ้าง รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่ครบกำหนดเสียภาษีประจำปี ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2566 ให้ปรับลดภาษีลง 90% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป

“ครม. เห็นชอบการใช้มาตรการภาษี และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อสร้างแรงจูงใจและดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ กระตุ้นให้เกิดการเร่งผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดย 2 ปีแรก (ปี 65 – 66) เน้นสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างกว้างขวางโดยเร็ว ครอบคลุมทั้งการนำเข้ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) และกรณีรถยนต์ รถยนต์กระบะ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ (CKD) ด้วยการยกเว้นหรือลดอากรนำเข้า ลดอัตราภาษีสรรพสามิต หรือให้เงินอุดหนุนตามเงื่อนไขที่กำหนด และช่วง 2 ปีถัดไป (ปี 67 – 68) ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศเป็นหลัก ยกเลิกการยกเว้น ลดอากรนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) แต่ยังคงมาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิต หรือให้เงินอุดหนุนตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งนี้ รัฐบาลมั่นใจว่า มาตรการต่างๆ จะช่วยส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม ปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทำให้ยังสามารถเป็นฐานการผลิตของภูมิภาครองรับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเติบโตทั่วโลกด้วย” นายธนกร กล่าว

Advertisement

“ประยุทธ์” บินเบลเยียม วอนอยู่กันดีๆ ลดขัดแย้ง

People Unity News : 12 ธันวาคม 2565 “พล.อ.ประยุทธ์” เผยไปราชการต่างประเทศ ขอสื่อลดเสนอข่าวสร้างความขัดแย้ง ไม่สนผลโพลความนิยมนายกฯ ร่วงไปอันดับ 6 ไม่มีผลต่อการตัดสินใจทางการเมือง ชี้ไม่รู้ใครทำ-ใครตอบ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน – สหภาพยุโรป (ASEAN – EU Commemorative Summit) ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ระหว่างวันที่ 12 – 15 ธันวาคม 2565

โดยก่อนเดินทางไปประชุม พลเอกประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ว่า ตนเองไปฏิบัติภารกิจหลายวันขอให้อยู่กันดีๆ ส่วนเรื่องงานได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่แทน ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็ทำงานกันอยู่ทุกวัน เพราะนายกฯได้สั่งการแต่ละนโยบายไปหมดแล้ว กรรมการแต่ละระดับก็ทำงานกันไป ผลสำเร็จก็จะตามมา แต่เรื่องเดียวที่นายกรัฐมนตรีเป็นห่วงคือความขัดแย้งก็ขอให้ลดลงบ้าง ในการนำเสนอข่าวให้เบาๆ กันหน่อย รู้ว่าเป็นสิทธิที่พูดได้แต่ต้องพูดให้อยู่ในขอบเขตไม่เช่นนั้นจะมีผลต่อการทำงาน เพราะในเวลานี้หลายอย่างต้องดำเนินต่อไปตามขั้นตอน ถ้าพูดกันแล้วก็จะขัดแย้งกันไปทุกเรื่องจะไปได้อย่างไร

พลเอกประยุทธ์ ยังกล่าวอีกว่า เวลาทำงานของรัฐบาลมีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ทุกอย่างก็ว่าไปตามรัฐธรรมนูญ ส่วนผลสำรวจความคิดเห็นของสำนักโพลที่ความนิยมของ พลเอกประยุทธ์ ลดลงอยู่อันดับ 6 นั้น พลเอกประยุทธ์ได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า “โพลของใครทำอยู่ก็ไม่รู้กัน ใครตอบก็ไม่รู้เหมือนกัน” ยืนยันว่าผลสำรวจที่ออกมานั้นไม่ได้กระทบกับความรู้สึก โดยระหว่างตอบคำถาม พลเอกประยุทธ์ ได้ทำท่าแบมือทั้งสองข้างพร้อมยักไหล่ ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าหลังจากเสร็จภารกิจต่างประเทศจะตัดสินใจเปิดตัวทางการเมืองหรือไม่นั้น พลเอกประยุทธ์ ตอบสั้นๆ ว่า “รอกลับมาก่อน”

Advertisement

โฆษกรัฐบาลชี้คนภายนอกมักเข้าใจผิด นายกฯเป็นคนไม่ฟังใคร

People Unity News : 6 ธันวาคม 2565 โฆษกรัฐบาลยืนยันนายกรัฐมนตรีรับฟังทุกเหตุผล ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้านและรอบคอบทุกครั้งก่อนสั่งการ

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อวิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าเป็นคนไม่ฟังใครนั้น เป็นสิ่งที่คนภายนอกมักเข้าใจผิด

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนละเอียดรอบคอบ คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นตลอดเวลา ทุกครั้งที่ปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรีจะเริ่มต้นด้วยการเชิญประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสียก่อน เพื่อรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้าน รวมถึงตรวจสอบความถูกต้องทางกฎหมาย และพิจารณาถึงผลดีและผลเสียที่จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และเป็นผลดีต่อประเทศชาติโดยรวม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต นำมาพิจารณาเพื่อหาข้อสรุปที่เป็นมติจากที่ประชุมเห็นชอบร่วมกัน แล้วจึงออกเป็นข้อสั่งการก่อนนำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป

นายอนุชา กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีทำงานละเอียดรอบคอบและคำนึงถึงทุกกลุ่มเช่นนี้ บางครั้งจึงอาจดูเหมือนว่านายกรัฐมนตรีต้องอธิบายเหตุผลของข้อสั่งการต่างๆอยู่เสมอ นั่นเพราะต้องการทำความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติที่ต้องนำนโยบายไปดำเนินการ ให้ทราบหลักคิดและที่มาของนโยบายต่างๆ อีกทั้งต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้เข้าใจและสนับสนุนการดำเนินงานตามมาตรการที่ออกมาในการปฏิบัติจริง เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ และพยายามหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นให้มากที่สุดเท่านั้นเอง

“นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง การจะสั่งการใดๆ มักจะเชิญผู้มีประสบการณ์ ผู้มีความรู้ความสามารถ รวมถึงผู้ปฏิบัติงาน และรับฟังทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยต้องการให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมและเห็นผลโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องและมีผลกระทบกับประชาชน ซึ่งเมื่อมีแต่เรื่องงานอยู่ในใจ บางครั้งอาจดูเหมือนท่านเป็นคนใจร้อน หรือพูดอธิบายเยอะ แต่จริงๆแล้วท่านมีหัวใจที่คำนึงถึงแต่ประเทศชาติและประชาชน ต้องการให้งานสำเร็จ ช่วยพี่น้องประชาชนได้เร็วที่สุดและมากที่สุด เพื่อขับเคลื่อนประเทศชาติตามแผนที่ได้วางไว้” นายอนุชา กล่าว

Advertisement

นายกฯ ไม่ตอบ นั่งหัวหน้ารวมไทยสร้างชาติ หรือไม่

People Unity News : 1 ธันวาคม 2565 นายกฯ ไม่ตอบเตรียมนั่งหัวหน้ารวมไทยสร้างชาติ หลังศาล รธน.วินิจฉัยร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. ไม่ขัด รธน.-ปรับ ครม.เรียบร้อย

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปฏิเสธตอบถึงความชัดเจนจะไปนั่งเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติเลยหรือไม่ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยร่าง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงวานนี้มีราชกิจจานุเบกษาประกาศเผยแพร่การปรับคณะรัฐมนตรี ก่อนที่จะเดินเข้าตึกสันติไมตรี เพื่อเป็นประธานมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 8 ประจำปีงบประมาณ 2564

Advertisement

นายกฯกำชับทุกหน่วยบูรณาการแก้ปัญหายาเสพติดทุกมิติ

People Unity News : 23 พฤศจิกายน 2565 นายกฯ ย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษายาเสพติด สั่งคุมเข้มสารตั้งต้นส่วนผสมยาเสพติด หวังบ้านเมืองสงบเรียบร้อยสวยงามเหมือนช่วงประชุมเอเปค

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ระยะเร่งด่วน 3 เดือน โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงผู้แทนสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ที่สโมสรทหารบก

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ยิ่งปรับวิธีการและปรับการทำงาน แต่อีกฝ่ายก็ปรับเช่นกัน ดังนั้น ต้องทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนให้ได้ เพราะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง สังคมและเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะต้องแก้ให้ลดลง สิ่งสำคัญคือความเข้าใจ และต้องมีการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆ และในหลายระดับ

“สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องดูว่าจะแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างไร เน้นการป้องกันปราบปราม และการบำบัดรักษา รวมถึงดีมานด์และซัพพลาย ลดผู้เสพรายใหม่ แก้ไขผู้เสพรายเก่า ทุกวันนี้สังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก จำเป็นต้องบูรณาการกันอย่างใกล้ชิดและร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลกำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ และเป็น 1 ใน 12 นโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติและพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ทำในวันนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในระดับนโยบาย คือ การปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบต่างๆ ที่อาจจะมีความเกี่ยวข้องในหลายกฎหมายด้วยกัน พร้อมกับต้องเร่งปราบปราม จับกุม และขยายผลไปสู่นายทุนและผู้ที่เกี่ยวข้อง จนสามารถยึดอายัดทรัพย์สินได้ถึง 11,000 ล้านบาท

“ขอเน้นย้ำให้ทุกคน ทุกหน่วยงานปฏิบัติการตามแผนการป้องกันและปรับปรามยาเสพติด ภายในระยะเวลา 3 เดือน ตามที่กำหนดไว้แล้ว ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ขณะที่การป้องกันคือทำอย่างไรให้คนไม่อยากเสพยาเสพติด เพราะจะทำให้การขายลดลงได้ ซึ่งการศึกษาเป็นส่วนสำคัญที่ต้องสร้างความรู้และหลักการที่ถูกต้องให้กับเยาวชน มีกลไกป้องกันยาเสพติด กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กองทัพต้องเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันสกัดกั้นยาเสพติดทางชายแดน ทั้งทางบกและทางน้ำ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปราบปรามผู้ค้ายาและจับกุม ยึดทรัพย์ ทำลายเครือข่าย โดยเจ้าหน้าที่ที่ไปเกี่ยวข้องจะต้องถูกลงโทษ ซึ่งถ้าทุกคนทำงานร่วมกันได้ ทุกอย่างจะต้องเบาบางลง เพื่อคืนอนาคตให้กับลูกหลาน ยกตัวอย่างกรณีที่จังหวัดหนองบัวลำภู ถือเป็นบทเรียน แต่ไม่ใช่การทำงานแบบวัวหายล้อมคอก แต่ต้องนำบทเรียนทุกอย่างมาดำเนินการ คิดวิเคราะห์ และหาวิธีการแก้ไขปัญหา ซึ่งพบว่าสถานการณ์ในขณะนี้ไม่ใช่เพียงผู้เสพ ผู้ซื้อและผู้ขาย แต่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จึงต้องให้ความสำคัญกับการบำบัดรักษาฟื้นฟู

“ขอให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดทำกฎหมายมารองรับสำหรับการปฏิบัติ ดูแลรักษาคัดกรองผู้ติดยาเสพติด เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการอย่างเหมาะสม จัดตั้งสถานที่รักษา โดยมีแนวคิดที่จะให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้การบำบัดรักษามีมาตรฐาน ให้กระทรวงแรงงานส่งเสริมให้ผู้บำบัดมีทักษะในด้านอาชีพ ขณะเดียวกัน ต้องทำให้ประชาชนมีความมั่นใจและความเชื่อใจในการแจ้งเบาะแส และสิ่งสำคัญคือการสร้างความรับรู้ให้กับประชาชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องสร้างความเชื่อมั่น เพราะคือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เห็นจากการประชุมเอเปคที่มีความร่วมมือที่กว้างมากขึ้น ไม่มีใครที่จะแก้ปัญหาได้เพียงหน่วยงานเดียว ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญกับหมู่บ้านและชุมชน ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องบูรณาการทรัพยากรทุกอย่าง ทั้งแผนงาน การปฎิบัติงานร่วมมือกับทุกหน่วยงานให้เป็นหนึ่งเดียว ให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเพื่อขจัดยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะเดียวกันต้องระดมสรรพกำลังในการร่วมมือกันปราบปรามยาเสพติด และจะต้องมีบทบาทในการคืนคนดีสู่สังคม เพื่อให้ทุกคนได้กลับสู่อ้อมกอดของครอบครัว และทำให้สังคมไทยปลอดยาเสพติด ส่วนการดูแลควบคุมสารตั้งต้น ที่ใช้ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด เพราะเป็นอันตรายและเป็นต้นตอ การนำไปสู่การผลิตยาเสพติด จึงขอให้มีการติดตามดำเนินคดีในเรื่องนี้ ซึ่งตนรอผลงานตรงนี้ด้วย อยากให้บ้านเมืองของเรามีความเจริญเติบโต อยากให้บ้านเมืองมีรายได้ที่ดี มีการค้าขายที่ดี ทุกคนมีความสุข สิ่งสำคัญที่สุดคือพื้นฐานด้านความมั่นคงทั้งสิ้น

“อยากให้ทุกคนได้ทราบว่า ความมั่นคงเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจ สังคม และทุกอย่าง ขณะนี้บ้านเมืองเราอยู่ในสถานการณ์สงบเรียบร้อย และในช่วงการประชุมเอเปคที่ผ่านมา ได้เห็นบ้านเมืองที่สวยงาม มีความสะอาด นี่คือประเทศไทย ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ เพราะได้เห็นคนไทยมีรอยยิ้ม เป็นเจ้าบ้านที่ดี ดังนั้น หลังการประชุมเอเปค ก็หวังว่าทุกอย่างจะสงบเรียบร้อยไปได้ด้วยดี เพื่อให้ทุกอย่างดีกว่าเดิมในทุกมิติ สิ่งไหนที่เป็นปัญหาก็แก้ไข หากติดขัดก็ติดตามขับเคลื่อน หากทุกคนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในทุกประชาคมโลกและทุกภูมิภาค ดังนั้น ขอบคุณข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน หากทุกคนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาด้วยความเข้าใจ ทุกอย่างจะสำเร็จแน่นอนและนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตลอดไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

ด่วน!! ศาล รธน.ชี้ขาด กม.ลูกพรรคการเมืองพรุ่งนี้

People Unity News : 22 พฤศจิกายน 2565 ศาลรัฐธรรมนูญ นัดลงมติร่างกฎหมายลูกพรรคการเมืองขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่พรุ่งนี้ ชี้เป็นปัญหาทางข้อกฎหมาย มีพยานหลักฐานเพียงพอวินิจฉัยได้ ยุติไต่สวน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันพรุ่งนี้ (23 พ.ย.) เวลา 09.30 น. องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติกรณีที่ประธานรัฐสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 77 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 132 ว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่.. ) พ.ศ. … มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 9  และมาตรา 10 มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 มาตรา 83 มาตรา 86 มาตรา 90 มาตรา 91 และมาตรา 258 ก.ด้านการเมือง (2) หรือไม่ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่

ทั้งนี้ คำร้องดังกล่าว ประธานรัฐสภาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อวันที่  29 สิงหาคมที่ผ่านมา และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมมีคำสั่งแจ้งผู้ร้อง และให้ผู้เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นเป็นหนังสือ พร้อมส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาทางข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง และกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติพรุ่งนี้

Advertisement

“อนุทิน” เชื่อ ที่ประชุม ป.ป.ส. 22 พ.ย. ไม่ดึงกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด

People Unity News : 21 พฤศจิกายน 2565 ทำเนียบรัฐบาล “อนุทิน” รับหนังสือจากสมาคมนักวิจัยฯ หนุนใช้กัญชาทางการแพทย์ เชื่อ ป.ป.ส.ไม่ดึงกลับไปเป็นยาเสพติด หากทำ เป็นการถ่มน้ำลายรดฟ้า ทางออกต้องออก พ.ร.บ.กัญชากัญชง

สมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทยและเครือข่ายนักวิจัย นำโดย นายพิพัฒน์ นนทนาธรณ์ นายกสมาคมนักวิจัยฯ พร้อมด้วยรายชื่อผู้สนับสนุนอีก 6,000 ชื่อ ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอให้คงไว้ซึ่งประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับปลดกัญชาออกจากยาเสพติดให้โทษ เพื่อสนับสนุนให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยหากกลับไปเป็นยาเสพติดจะเกิดผลกระทบจำนวนมาก และเป็นการทำลายโอกาสต่างๆของประเทศชาติที่จะสามารถพัฒนาต่อไปได้ ซึ่งทางสมาคมฯ ได้ตั้งคณะทำงานวิจัยกัญชาทางการแพทย์ และสมุนไพรเพื่อสิทธิและสังคม

นายอนุทิน ได้รับหนังสือ พร้อมระบุว่า ยินดีที่ทางสมาคมฯ เดินหน้าเรื่องนี้ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขจะให้ความร่วมมือด้วย ซึ่งการที่ได้รับหนังสือในวันนี้ เป็นการยืนยันว่า กัญชามีประโยชน์ ถ้าใช้ในทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการนำไปใช้ทางการแพทย์ สุขภาพ รวมถึงการส่งเสริมทางเศรษฐกิจ และยินดีที่ได้รู้จักกับนายกสมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย ทางกระทรวงสาธารณสุขจะได้มีช่องทางในการอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกัน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายกัญชากัญชง ตรงไหนที่ทางกระทรวงฯ สามารถช่วยเหลือในเรื่องของข้อมูลได้ จะมีส่วนช่วยทำให้ความน่าเชื่อถือในเรื่องกัญชาเพิ่มมากขึ้น และประชาชนจะได้ประโยชน์

ส่วนรายชื่อสนับสนุนที่ยื่นในครั้งนี้ จะมีผลต่อการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ย.) หลังมีกระแสข่าวว่าดึงกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดหรือไม่ นายอนุทิน ยืนยันว่า ไม่มี เพราะกัญชาไม่ใช่ยาเสพติด ส่วนที่เป็นยาเสพติดคือสารสกัดจากกัญชา ที่มีค่า THC มากกว่า 0.2 เพราะฉะนั้น ประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยการควบคุมพืชสมุนไพร ที่ตนได้ลงนามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับทาง ป.ป.ส. และไม่น่าจะมีผลเกี่ยวข้องใดๆกับคณะรัฐมนตรี ซึ่งในประกาศนั้นไม่ใช่กฎกระทรวง แต่เป็นประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะที่เป็นผู้รักษากฎหมาย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพืชสมุนไพร ได้ใช้อำนาจของรัฐมนตรีในการประกาศมาตรการต่างๆออกมา ซึ่งรัฐมนตรีก็ได้ใช้อำนาจไปแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนที่จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งเป็นหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทำงานเพียง 2 วัน และมีการประชุมเอเปค ดังนั้นอย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ และคงไม่มีนัยที่จะกลับไปเป็นพืชยาเสพติด

ส่วน ป.ป.ส. สามารถดึงกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ป.ป.ส. ประกอบด้วยคณะกรรมการ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน โดยในกรณีนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานแทน และคณะกรรมการชุดนี้ได้ประกาศให้กัญชาออกจากพืชยาเสพติด แล้วจะไปถ่มน้ำลายรดฟ้าได้อย่างไร และเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับนายวิษณุ เพราะเป็นเรื่องของประโยชน์บ้านเมือง และเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล

“ยืนยันไม่ได้ส่งเสริมในเรื่องของสันทนาการและนันทนาการ หากมีใครที่กำลังกังวล โดยเฉพาะห่วงใยเรื่องเยาวชนจะไปยุ่งเกี่ยว หรือห่วงใยผู้ที่ใช้ในทางที่ผิด ขอให้ร่วมกันออก พ.ร.บ.กัญชากัญชง ให้เรียบร้อย และสามารถให้ความเห็นเพิ่มเติมและเสนอแนะต่างๆได้ เพราะกรรมาธิการก็ประกอบด้วยตัวแทนจากพรรคการเมืองทุกพรรค ตัวแทนข้าราชการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเรื่องการใช้กัญชากัญชง” นายอนุทิน กล่าว

Advertisement

“ทิพานัน” โต้เพื่อไทย หลังกล่าวหาภาพลักษณ์นายกฯ

People Unity News : 17 พฤศจิกายน 2565 “ทิพานัน” โต้เพื่อไทย หลังกล่าวหาภาพลักษณ์นายกฯ ย้ำรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” มาจากการเลือกตั้งในกติกาเดียวกับที่เพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน เย้ยออกอาการหวั่นไหวเพราะนานาชาติตอบรับเอเปค

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าภาพลักษณ์เผด็จการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นอุปสรรคในเวทีโลกว่า การแสดงความคิดเห็นดังกล่าว สะท้อนความหวั่นไหวและหวาดกลัวของพรรคเพื่อไทยที่ได้เห็นภาพความสำเร็จยของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ได้รับการยอมรับและให้การต้อนรับเป็นอย่างดีจากบรรดาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้นำประเทศที่เดินทางมาร่วมการประชุมด้วยตนเอง

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยิ่งมีเสียงชื่นชมการจัดงานการประชุมที่ได้มาตรฐานระดับโลก จากบุคลากรของเอเปคเอง คือนางรีเบคกา สตา มาเรีย ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการเอเปคด้วยแล้ว พรรคเพื่อไทยอาจรับไม่ได้ที่นานาประเทศชื่นชมไทย ส่วนที่กล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ ความจริงแล้ว พรรคเพื่อไทยเองก็ตระหนักดีว่า พล.อ.ประยุทธ์มาจากการเลือกตั้งที่มีกติกาเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2562 ที่เป็นฝ่ายค้านในสภาฯ อยู่ในขณะนี้

“พรรคเพื่อไทยต้องยอมรับว่านักโทษชายทักษิณ หลอกคนไทยว่าจะไม่โกง เพราะรวยอยู่แล้ว จะเข้ามาบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ใช้วาทกรรมหลอกจนปังแต่ปัจจุบันพินาศไปแล้ว เพราะในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่พรรคเพื่อไทยมักจะนำมากล่าวอ้างถึงความสำเร็จต่างๆ โดยเฉพาะการจัดการประชุมเอเปคในยุคนั้น กลับมีพฤติกรรมที่เรียกว่า “เผด็จการรัฐสภา” ที่ก่อให้เกิดปัญหาคอร์รัปชันเชิงนโยบาย เช่น กรณีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต ด้วยการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท  ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ฐานที่นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยให้บุคคลอื่นมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทน ในกรณีของการถือหุ้น บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองและผู้อื่น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต” น.ส.ทิพานัน กล่าว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังคงภาคภูมิใจกับเศษซากปรักหักพังของประเทศ ที่ต้องสูญเสียไปกับการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ที่ขโมยผลประโยชน์ชาติเข้าตระกูลตัวเองอยู่อีกหรือ ทั้งยังเป็นนักโทษหลบหนีคดี แต่จะขอกลับมาเมืองไทยแบบเท่ๆ สร้างความอับอาย และเป็นพฤติกรรมที่สังคมโลกรังเกียจ

Advertisement

ครม.มีมติให้ อปท.ปรับปรุงระบบด้านการเงิน ให้ ปชช.ตรวจสอบได้

People Unity News : 15 พฤศจิกายน 2565 ครม.มีมติให้ อปท.ปรับปรุงระบบการกำกับดูแลด้านการเงิน พร้อมให้เปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบได้

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐและ อปท. รูปแบบทั่วไป เป็นหน่วยรับงบประมาณตามกฎหมายงบประมาณและได้รับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐสูง แต่ยังขาดเครื่องมือการตรวจสอบสถานะด้านการคลังและงบประมาณท้องถิ่น ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบและอนุมัติแนวทางเสริมสร้างศักยภาพการคลังท้องถิ่น (แบบประเมินสุขภาพการคลังท้องถิ่น) ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ เพื่อสร้างเครื่องมือการตรวจสอบสถานะด้านการคลังและงบประมาณท้องถิ่นให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป 7,850 แห่ง นำไปใช้เพื่อปรับปรุงระบบการกำกับดูแลด้านการเงินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“แบบประเมินนี้ จะตรวจสอบภายใน การควบคุมภายใน และการบริหารจัดการความเสี่ยงตามมาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และพัฒนาให้มีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบได้ เพื่อให้ อปท. มีความเข้มแข็งสามารถให้บริการประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแบบประเมินสุขภาพการคลังท้องถิ่นจะประเมินตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 โดยใช้ข้อมูลผลการปฏิบัติงานของปีงบประมาณ 2565 โดยจะชี้วัดในด้านต่างๆ 8 ด้าน ประกอบด้วย 1. ด้านรายได้ ประเมินประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของ อปท. รวมทั้งการใช้นวัตกรรมในการจัดเก็บรายได้ 2. ด้านการเงิน ประเมินประสิทธิภาพในการชำระเงินที่ผ่านหลายช่องทาง สะดวก รวดเร็ว” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า 3. ด้านงบประมาณรายจ่าย ประเมินความสอดคล้องการจัดทำคำของบประมาณประจำปีกับแผนพัฒนาท้องถิ่น ความพร้อมในการดำเนินโครงการ และความสามารถในการก่อหนี้ผูกพัน 4. ด้านการจัดซื้อจัดจ้าง ประเมินความสามารถในการปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐได้อย่างถูกต้องตามระยะเวลา ขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด มีความโปร่งใส และมีการดำเนินการตามข้อตกลงคุณธรรม 5. ด้านการบัญชีและสินทรัพย์ จัดทำรายงานบัญชีและสินทรัพย์ตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐและรายงานต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า 6. ด้านการกำกับดูแลตนเอง ประเมินการควบคุมภายใน การตรวจสอบภายใน จัดทำรายงานการตรวจสอบภายใน และการจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยง 7. ด้านการก่อหนี้ระยะยาว ประเมินความคุ้มค่าของโครงการที่ก่อหนี้ระยะยาวหรือโครงการที่ใช้เงินกู้ว่าสอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาท้องถิ่น และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 8. ด้านเงินสะสม ประเมินประสิทธิผลของการใช้เงินสะสมตามวัตถุประสงค์ และรักษาระดับของเงินสะสมเพื่อเสถียรภาพทางการคลัง ทั้งนี้ การมีแบบประเมินนี้ เพื่อการบริการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ต้องเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบได้ พร้อมกับสามารถนำไปปรับปรุงระบบการกำกับดูแลตนเองได้

Advertisement

Verified by ExactMetrics