วันที่ 26 พฤศจิกายน 2024

พ.ร.ก.กู้เงินอุ้มกองทุนน้ำมันผ่านความเห็นชอบวุฒิสภา

People Unity News : 14 พฤศจิกายน 2565 ส.ว.เห็นชอบ พ.ร.ก.กู้เงินอุ้มกองทุนน้ำมัน “สุพัฒนพงษ์” ระบุเป็นรัฐบาลเดียวที่ไม่สร้างผลกระทบ ปชช.  ย้ำวิกฤติพลังงานของไทยวิกฤติพลังงานซ้อนวิกฤติค่าเงินบาท

การประชุมวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ผ่อนผันให้กระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ ซึ่งเป็นการพิจารณาอนุมัติต่อจากที่่สภาผู้แทนราษฎร ลงมติเห็นชอบ ทั้งนี้ ในการพิจารณา ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเห็นด้วย  187 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและ รมว.พลังงาน ชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภาช่วงหนึ่งว่า จากปัญหาวิกฤตพลังงานราคาน้ำมันที่ผ่านมา ถือเป็นวิกฤตที่ซ้อนวิกฤต ทั้งกรณีค่าน้ำมันที่ราคาสูงขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทนั้นตกต่ำ โดยการแก้ปัญหาที่ผ่านมารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเดียวที่ไม่ทำให้เกิดผลกระทบกับประชาชน ทั้งนี้การแก้ปัญหาต้องใช้การประคับประคองแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ผ่านมามีดัชนีชี้วัดค่อนข้างดี ส่วนกรณีที่มีข้อเสนอแนะว่าอย่าอุดหนุนจนบิดเบือน เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจ รัฐบาลต้องดูแลเรื่องดังกล่าว ขณะที่การชำระเงินกู้ รัฐบาลได้คำนึงในประเด็นดังกล่าวพร้อมกับการคงเสถียรภาพทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด

ขณะที่แผนกการกู้เงินนั้นนายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายแลยุทธศาสตร์ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในฐานะผู้ช่วยเลขาคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ชี้แจงว่า สำหรับแผนการกู้เงินนั้นได้รับอนุมัติจากรัฐบาลแล้ว โดยจะมีการกู้เงินก้อนแรก 3 หมื่นล้านบาท ในปี 2565 และอีกก้อน จำนวน  1.2 แสนบ้านบาท จะดำเนินการในปี 2566 ขณะที่แผนการชำระเงินนั้น หนี้ก้อนแรกจะมีระยะเวลาใช้คืน 7 ปี ขณะที่ก้อนที่สองมีระยะเวลาการชดใช้ 7 ปีเช่นกัน

Advertisement

ป.ป.ช.ครบรอบ 23 ปี “ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เฉย รวมไทยต้านโกง”

People Unity News : 11 พฤศจิกายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดงานวันสถาปนาสำนักงาน ป.ป.ช.ครบรอบ 23 ปี ภายใต้แนวคิด “23 ปี ป.ป.ช. สร้างสังคมไทย ไม่ทนทุจริต” โดยมี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ และพิธีสักการะบูชาพระภูมิเจ้าที่ เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมถึงกิจกรรมมอบรางวัล “เพชรน้ำเอก” สำหรับบุคคลภายใน รางวัลหน่วยงานในสังกัดสำนักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง สำนักงาน ป.ป.ช.ภาค และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด ที่มีผลงานดีเด่น

ทั้งนี้ ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ช.มุ่งมั่นสร้างสังคมที่ไม่ทนทุจริต ได้ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตควบคู่กับการปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรมจริยธรรม โดยเน้นการทำงานแบบบูรณาการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน มุ่งมั่นสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตอย่างต่อเนื่อง จากความพยายามสร้างสังคมที่ไม่ทน ต่อการทุจริตดังกล่าว ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญหลายประการ ได้แก่

1.มีการเฝ้าระวังและส่งเสียง (Watch and Voice) เมื่อพบเห็นความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรณีเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ (น้องแบม) และกรณีเงินทอนวัด เป็นต้น

2.ประชาชนทั่วประเทศช่วยกันเปิดโปงกรณีการทุจริตในพื้นที่จังหวัดของตน เช่น กรณีอาหารกลางวันเด็กนักเรียน

3.การมีคำพิพากษาของศาลเกี่ยวกับกรณีการใช้รถหลวงเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งกรณีดังกล่าว จะเสริมพลังให้การปรับฐานคิดเกี่ยวกับการรู้จักแยกแยะประโยชน์ส่วนรวมและประโยชน์ส่วนตนที่สำนักงาน ป.ป.ช. กำลังผลักดันอยู่ประสบผลสำเร็จ

4.การร่วมกันตรวจสอบและติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในกรณีต่างๆ เช่น การรับแป๊ะเจี๊ยะ การทุจริตเกี่ยวกับนมโรงเรียน เป็นต้น ส่งเสริมมาตรการเสริม ได้แก่ การคุ้มครองพยาน การกันบุคคลไว้เป็นพยาน การจ่ายเงินสินบนเป็นรางวัลให้ผู้ชี้ช่อง แจ้งเบาะแส ให้ข้อมูล ให้ข้อเท็จจริงจนมีคำพิพากษาให้ทรัพย์สิน จากการกระทำผิดตกเป็นของแผ่นดิน รวมถึงการประเมินระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) การสร้างเครือข่ายในการป้องกันการทุจริตกับภาคีต่างๆ เป็นต้น

โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.และบุคลากรทุกระดับพร้อมเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ทนทุจริต ภายใต้ค่านิยม “ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้” เพื่อขจัดการทุจริตให้หมดไปจากสังคมไทย หากพบเห็นการทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐ แจ้งมาที่หมายเลข 1205 หรือร้องเรียนผ่านเว็บไซต์สำนักงาน ป.ป.ช. www.nacc.go.th หรือสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัด

Advertisement

ฝ่ายค้านประกาศพร้อมคว่ำ พ.ร.บ.กัญชา หากไม่ปรับแก้ตามที่ฝ่ายค้านเสนอ

People Unity News : 10 พฤศจิกายน 2565 ฝ่ายค้านประกาศถ้าไม่ปรับแก้จะคว่ำร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง  ลั่นต้องควบคุมใช้ทางการแพทย์จริงจัง หลัง รมว.สธ.โพสต์รูปคู่ไอติม ชี้เป็นสันทนาการ

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน  กล่าวว่า หากกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง ไม่ปรับแก้ตามที่ฝ่ายค้านเสนอในการพิจารณาวาระสอง จะลงมติไม่เห็นด้วยเป็นรายมาตรา และจะลงมติคว่ำในวาระสาม และเรื่องนี้ฝ่ายค้านมีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน  จึงนำเรื่องไปยื่นต่อศาลปกครองฟ้องนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ศาลมีคําสั่งเพิกถอนประกาศกระทรวงสาธารณสุข  ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์  2565 เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศ และให้กัญชาจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข  ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2563  เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 พ.ศ. 2563 เช่นเดิม พร้อมทั้งขอให้ศาลมีคําสั่งคุ้มครองชั่วคราว  ด้วยการทุเลาการบังคับตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดีด้วย

ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ กรรมการแพทยสภาและนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่ร่วมยื่นเรื่องและไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชา  เพราะเห็นว่าการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแสดงให้เห็นถึงการนำกัญชาไปผลิตเป็นอาหาร หรือไอติม เป็นความชัดเจนว่าไม่ได้ใช้กัญชาทางการแพทย์ แต่เป็นการใช้กัญชาในเชิงสันทนาการ นอกจากนี้ยังเป็นประกาศที่ทำให้การใช้กัญชาเสรีจนเกินไป

“ไม่มีการใคร่ครวญอย่างละเอียด ไม่มีกฎหมายควบคุมจนเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย  หรือแม้ว่าจะมีพระราชบัญญัติกัญชา กัญชงออกมาใช้ก็ไม่ทัน  รวมทั้งยังเสียเวลา เพราะกฎหมายนี้ไม่มีความพร้อม และไม่สมบูรณ์   จึงเห็นว่าควรจะทุเลาประกาศนี้ออกไปก่อน   ซึ่งจะไม่มีผลต่อการใช้ทางการแพทย์  เพราะมีประกาศเดิม 2563 รองรับการใช้งานทางการแพทย์อยู่แล้ว” ผศ.นพ.สมิทธิ์ กล่าว

Advertisement

ป.ป.ช. ยันเร่งสอบคดีเสาไฟกินรี อบต.ราชาเทวะ

People Unity News : 31 ตุลาคม 2565 ป.ป.ช. ยันเร่งสอบสำนวนเสาไฟกินรี อบต.ราชาเทวะ เสร็จแล้ว 2 ใน 5 สำนวน ย้ำทำสุดความสามารถ ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่อาจไม่ทันใจประชาชนและสื่อมวลชน 

น.ส.ชภารัตน์ อนรรฆอร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 1 แถลงความคืบหน้าคดีจัดซื้อจัดจ้างโคมไฟกินรี อบต.ราชาเทวะ สมุทรปราการ ว่า หลัง ป.ป.ช.ชุดใหญ่มีมติให้ไต่สวนทาง ป.ป.ช. ภาค 1 ได้แยกดำเนินการออกเป็น 5 คดีตามปีงบประมาณ ซึ่งได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกกล่าวหา 2 คดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา คาดว่าหากผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแล้วจะสรุปสำนวนเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช ให้พิจารณาโดยเร็ว เพราะอยู่ในความสนใจประชาชน

“ส่วนอีก 3 คดีอยู่ระหว่างแจ้งข้อกล่าวหาซึ่งคาดว่าที่สุดแล้วทั้ง 5 สำนวน คดีจะแล้วเสร็จในเวลาใกล้เคียงกัน ย้ำว่า ป.ป.ช.ไม่ได้นิ่งเฉย แม้การดำเนินการอาจไม่ทันใจประชาชนหรือสื่อมวลชน แต่ยืนยันได้เร่งติดตามดำเนินคดีเรื่องนี้สุดความสามารถ แต่ทั้งนี้มีข้อจำกัดในบางส่วน เช่น เจ้าหน้าที่ อบต.ราชาเทวะ ก็ติดโควิด ทำให้การส่งเอกสารล่าช้า ย้ำว่าการดำเนินคดีในเรื่องนี้ได้ให้ความพิถีพิถันเป็นพิเศษ เพื่อให้ปราศจากข้อสงสัย” น.ส.ชภารัตน์ กล่าว

ส่วนการทุจริตติดตั้งเสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์นวัตกรรมไทยในพื้นที่จังหวัดสระบุรีนั้น ได้ลงพื้นที่ติดตามใน 3 พื้นที่ พบว่าผลการตรวจสอบพบความเสี่ยงในเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้างขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรี ซึ่งมีการจัดซื้อเสาไฟ 6,493 ชุด มูลค่ารวมกว่า 453 ล้านบาท โดยพบประเด็นการจัดซื้อเสาไฟที่มีราคาสูงและซื้อจำนวนมาก แต่ไม่สามารถต่อรองราคาให้ถูกลงได้ ส่วนประเด็นคุณภาพของแสงสว่างบางประเด็นไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ อีกทั้งพบว่ามีการติดตั้งซ้ำซ้อน หรือติดในพื้นที่ที่มีการสัญจรน้อย และพื้นที่ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังพบว่าประเด็นการจัดทำประชาพิจารณ์ก่อนการดำเนินการและยังมีการติดตั้งเสาไฟโซลาร์เซลล์รุ่นเก่าปะปนกับเสารุ่นใหม่

Advertisement

รัฐบาลแบะท่ายังคงมีพื้นที่ทางการคลังสำหรับหนี้สาธารณะ

People Unity News : 31 ตุลาคม 2565 โฆษกรัฐบาล เผยความสามารถการชำระหนี้ของรัฐบาลยังอยู่ในเกณฑ์ดี คาดการณ์ว่าระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ยังคงอยู่ภายใต้กรอบการบริหาร ภายใต้แผนการคลังระยะปานกลางปี 2566-2569

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลในขณะนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาลในระยะปานกลางอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และจากประมาณการภายใต้แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2566-2569) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 คาดการณ์ว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 จะอยู่ที่ร้อยละ 62.69 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่กำหนดให้สัดส่วนดังกล่าวต้องไม่เกินร้อยละ 70

นอกจากนี้ ภายใต้แผนการคลังระยะปานกลางดังกล่าว ได้มีการประมาณการสถานะการคลังในระยะปานกลางในช่วงปีงบประมาณ 2566-2569 จากการประเมินการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ ในภาวะที่รัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้มีการคาดการณ์ว่า ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 64.02 ในปีงบประมาณ 2566 เป็นร้อยละ 67.15 ในปีงบประมาณ 2569 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่กำหนดให้สัดส่วนดังกล่าวต้องไม่เกินร้อยละ 70 เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ หนี้สาธารณะเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจแบบสะสม ไม่ได้เกิดจากรัฐบาลปัจจุบันเพียงชุดเดียว และการเปรียบเทียบหนี้สาธารณะควรพิจารณาเทียบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เนื่องจากแต่ละประเทศมีขนาดเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน จากสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ล่าสุด ณ เดือนสิงหาคม 2565 ที่มีสัดส่วนร้อยละ 60.72 แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลยังคงมีพื้นที่ทางการคลังเพิ่มเติมสำหรับรองรับมาตรการทางการเงินเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อีกประมาณร้อยละ 10 ของ GDP (กรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐจะต้องไม่เกินร้อยละ 70) อีกทั้งความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาลในระยะปานกลางอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้

Advertisement

รัฐบาลจัดสรรที่ดินทำกิน-ที่อยู่อาศัยให้ราษฎรยากไร้แล้ว 1.12 ล้านไร่

People Unity News : 31 ตุลาคม 2565 รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาที่ดิน ออกหนังสืออนุญาตฯ แล้ว 1.12 ล้านไร่

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมุ่งเน้นให้ประชาชนใช้ประโยชน์จากที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งต้องอาศัยการร่วมมือบูรณาการกันของทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อเร่งให้เกิดการดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ตลอดจนเรื่องของการแก้ไขหรือปลดล็อกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการตรวจพิสูจน์สิทธิการครอบครองและการใช้ประโยชน์จากที่ดิน โดยให้ยึดหลักการใช้ข้อเท็จจริงที่รอบด้าน และหลักการการเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ แต่ให้สามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้ในการแก้ปัญหา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและผลกระทบ

นางสาวรัชดา กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน โดยได้จัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้แก่ราษฎรที่ยากไร้และเกษตรกรตามหลักการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) โดยได้ดำเนินการออกหนังสืออนุญาตแล้วใน 356 พื้นที่ 65 จังหวัด เนื้อที่ 1.12 ล้านไร่ จัดคนลงพื้นที่ จำนวน 73,809 ราย ใน 331 พื้นที่ 67 จังหวัด เนื้อที่ 501,475 ไร่ และส่งเสริมและพัฒนาอาชีพใน 247 พื้นที่ 65 จังหวัด เนื้อที่ 327,976 ไร่ รวมทั้งได้ดำเนินการมอบสมุดประจำตัวผู้ที่ได้รับการคัดเลือกการจัดที่ดินทำกิน จำนวน 55,589 เล่ม ใน 53 จังหวัด

“รัฐบาลมุ่งสร้างพื้นที่ทำกินให้แก่ประชาชน และได้กำหนดให้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ มีกลไกคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติขับเคลื่อนการบูรณาการกับทุกภาคส่วนเพื่อแก้ปัญหาที่ดินทำกินที่เรื้อรังและซับซ้อน โดยจะอำนวยการดูแลประชาชนทั้งเรื่องการรวมกลุ่มให้เข้มแข็ง จัดตั้งเป็นสหกรณ์ และพัฒนาอาชีพ เพื่อนำไปสู่การมีรายได้เพิ่มอย่างยั่งยืนด้วย” นางสาวรัชดา กล่าว

Advertisement

“พล.อ.ประวิตร” ขอหน่วยงาน-ผู้ประกอบการ เข้มปลอดภัยฮาโลวีนในไทย

People Unity News : 31 ตุลาคม 2565 พรรคพลังประชารัฐแสดงความเสียใจต่อโศกนาฏกรรมที่อิแทวอน “พล.อ.ประวิตร” ขอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง-ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ เข้มมาตรการความปลอดภัยเทศกาลฮาโลวีนในไทย

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยวานนี้ (30 ตุลาคม 2565) ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ติดตามข่าวโศกนาฏกรรมในเทศกาลฉลองวันฮาโลวีน ที่ย่านอิแทวอน กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งไทยกับเกาหลีใต้มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างใกล้ชิดมานานกว่า 60  ปี มีความสัมพันธ์ในระดับประชาชนอยู่ในระดับที่ดี โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เดินทางมาไทย และนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเกาหลีใต้เพิ่มสูงขึ้นทุกปี

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร จึงขอให้หน่วยงานต่างๆ ดูแลความปลอดภัยในการจัดงานเทศกาลฉลองวันฮาโลวีนในประเทศไทย โดยเฉพาะขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ ผู้จัดงานต่างๆ คำนึงถึงความปลอดภัย ประเมินสถานการณ์ผู้เข้าร่วมงานเป็นระยะ และตรวจสอบมาตรการรักษาความความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน หากเป็นสถานประกอบการแบบปิด ต้องตรวจตราระบบไฟ ประตู ทางหนีไฟให้พร้อมใช้งานได้ดีอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้าย

Advertisement

20 ปท.ปรบมือชื่นชมไทยจัดประชุม APPF

People Unity News : 28 ตุลาคม 2565 ปิดฉากประชุม APPF ครั้งที่ 30 เสียงปรบมือกึกก้องชื่นชมไทยจัดประชุมได้ดี บรรลุข้อตกลงถึง 11 ข้อ พร้อมลงนามในแถลงการณ์ร่วมพัฒนาภูมิภาค หลังโควิด 19 คลี่คลาย ส่งต่อธงเจ้าภาพให้ฟิลิปปินส์

การประชุมประจำปีรัฐสภาภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก (Asia-Pacific Parliamentary Forum – APPF) ครั้งที่ 30 วันสุดท้าย นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดการประชุมประจำปีรัฐสภาภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก (Asia-Pacific Parliamentary Forum – APPF) ครั้งที่ 30 กล่าวสุนทรพจน์ปิดการประชุม ว่า สมาชิกรัฐสภาจาก 20 ประเทศในภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ภายใต้หัวข้อ “บทบาท ของรัฐสภาในการเร่งรัดการพัฒนาที่ยั่งยืนภายหลังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ซึ่งเป็นการประชุมแบบพบหน้ากัน ครั้งแรกหลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย

“ประเทศสมาชิกมีข้อมติและเห็นด้วยร่วมกัน 11 ข้อมติ ทั้งความร่วมมือด้านการลงทุน และการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งประเด็นต่าง ๆ ที่จะเสริมสร้างสันติภาพในภูมิภาค เช่น ด้านการเมืองและความมั่นคง ที่ส่งเสริมการทูตเชิงรัฐสภา เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยในภูมิภาค แต่ในด้านการเมืองและความมั่นคงนี้  ด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริม เศรษฐกิจดิจิทัล ในภูมิภาค ด้านความร่วมมือในภูมิภาค ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทน ลดการก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาโลกร้อน ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ใช้พลังงานสะอาด  ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมของภูมิภาคในกับนานาประเทศ” นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวว่า ด้านสิทธิสตรี ประเทศสมาชิกสนับสนุนให้เสริมสร้างศักยภาพสตรี ให้สามารถรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เสริมสร้างความร่วมมือการพัฒนาอย่างยั่งยืนหลังสถานการณ์ โควิด19 อีกทั้ง ต้องกระตุ้นให้สตรีเข้าถึง ทักษะด้านต่าง ๆ เพื่อให้มีโอกาสได้พัฒนา ทุกด้านในชีวิต พร้อมเปิดโอกาสให้ สตรีสามารถเข้าไปเป็นผู้นำ ได้ทุกด้าน เช่น ด้านการเมือง ขจัดความรุนแรงกับสตรีในทุกรูปแบบ สร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นระหว่างเพศ

นายชวน กล่าวว่า สำหรับข้อรับรองทั้งหมด 11 ข้อมติ แบ่งเป็น 3 เรื่องหลัก ประกอบด้วย 1.การเมืองและความมั่นคงโดยส่งเสริม การพูดเชิงรัฐสภา ทำให้บทบาทสภาเป็นศูนย์กลางส่งเสริมสันติภาพความมั่นคงภายในหลังการระบาดของไวรัสโควิด -19 2. ส่งเสริมการเชื่อโยงความหลากหลายทางเศรษฐกิจชีวภาพ และส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล 3. ความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ให้ความสำคัญกับรัฐสภาที่ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เพื่อให้เกิดการแพร่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ส่งเสริมการเข้าถึงสาธารณสุขพื้นฐาน ส่งเสริมการท่องเที่ยวเข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลาย ขณะที่การ ประชุมรัฐสภาสตรี ย้ำความจำเป็นให้ส่งเสริมศักยภาพสตรีรับมือกับวิกฤติการณ์ ให้เกิดการมีส่วนร่วมของสตรีด้านเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19

“ส่วนเรื่องความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนประเทศออสเตรเลียได้เสนอเรื่องสมาชิกภาพของรัสเซีย ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้การประชุมมีปัญหาถกเถียงกัน ซึ่งนายชวน เห็นว่าเรื่องนี้ควรได้พิจารณาในครั้งต่อที่ฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพ โดยประเทศผู้เสนอจะต้องได้รับมติมาจากสภาของแต่ละประเทศในการตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนแปลงสมาชิกภาพของรัสเซียเพราะไม่ต้องการใช้ความเห็นของคนใดคนหนึ่ง และให้นำมตินั้นมานำเสนอในที่ประชุมครั้งหน้า” นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวว่า ที่ประชุมได้เสนอให้เปลี่ยนวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการ APPF 4 ปีให้เหลือ 2 ปีก็จบลงด้วยดี สำหรับการประชุมครั้งต่อไปในปี2023 ซึ่งมีประเทศฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพ ตนขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ประเทศฟิลิปปินส์รับเป็นเจ้าภาพการประชุม หวังว่าเจ้าภาพการประชุมครั้งต่อไปจะประสบความสำเร็จในการประชุม APPF

ด้านตัวแทนฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ขอขอบคุณและความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการประชุมAPPF ยืนยันพร้อมรับเป็นเจ้าภาพครั้งต่อไป โดยขณะนี้ได้เริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมแล้วที่กรุงมะนิลา ขอบคุณประเทศไทยที่จัดการประชุมครั้งนี้เป็นอย่างดี ซึ่งฟิลิปปินส์จะนำการประชุมครั้งนี้ไปปรับใช้

จากนั้น นายชวนส่งมอบธง APPF ให้กับประเทศฟิลิปปินส์ และกล่าวในตอนท้ายว่า ขอแสดงความขอบคุณประเทศสมาชิกทุกคน ที่สนับสนุนการประชุมอย่างมีศักยภาพ และขอขอบคุณองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่สนับสนุนนการประชุมครั้งนี้ให้ประสบความสำเร็จ ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการประชุมที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์พลังในการร่วมมือทำงานและเป็นหุ้นส่วนอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งหวังว่าการประชุมจะเป็นเครื่องมือส่งเสริมฉันทามติ ส่งเสริมประชาชน เปลี่ยนวิสัยทัศน์ไปสู่การปฏิบัติเพื่ออนุชนคนรุ่นหลังของอนุภาคเอเชียแปซิฟิก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างลงนามในแถลงการณ์ร่วมของแต่ละประเทศสมาชิก และเมื่อถึงประเทศไทยในลำดับสุดท้าย ทุกประเทศพร้อมใจกันลุกขึ้นปรบมือชื่นชมประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมครั้งนี้

Advertisement

“พัชรินทร์” ปลื้มราชกิจฯเผยแพร่ กม.ป้องกันทำผิดซ้ำ

People Unity News : 26 ตุลาคม 2565  “พัชรินทร์” ปลื้มใจ หลังราชกิจฯเผยแพร่ กม.ป้องกันการกระทำผิดซ้ำ ในคดีทางเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง เชื่อจะเป็นเครื่องมือสำคัญ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ในสังคมไทย

นางสาวพัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต2 ปทุมวัน บางรัก สาทร และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้เสนอร่างกฎหมาย เปิดเผยภายหลังราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พ.ร.บ. มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ ในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 โดยให้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ว่าตนรู้สึกปลื้มใจ ที่เราจะมีกฎหมาย ที่มุ่งคุ้มครองกลุ่มเป้าหมายเปราะบาง ทั้งเด็ก เยาวชน ผู้หญิง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับคดีทางเพศ และคดีที่มีความรุนแรงเป็นการเฉพาะ ซึ่งที่จะสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม เป็นเรื่องลดการกระทำความผิดซ้ำ และเชื่อว่ากฎหมายดังกล่าว จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในสังคมไทย โดยที่ผ่านมาตนได้พยายามผลักดันกระบวนการในสภาฯ ตั้งแต่ต้นน้ำ จนสำเร็จเป็นกฎหมายฉบับนี้ออกมา และต้องขอขอบคุณนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เจ้าภาพหลักที่ผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเห็นผลเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าว มีสาระสำคัญ คือการดำเนินการกับผู้กระทำผิดในคดีทางเพศ และคดีที่มีความรุนแรง พร้อมมาตรการการป้องกันภัยคุกคามทางเพศ และความรุนแรง ซึ่งพร้อมกับพลวัตรสังคม ในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการใช้หลักทางจิตวิทยา และมาตรการทางการแพทย์ เพื่อเข้ามามีส่วนในการป้องกันในผู้ต้องหาที่ได้กระทำผิดซ้ำ เช่น การใช้ยา, การฉีดฮอร์โมนลดความต้องการทางเพศ หรือฉีดให้ฝ่อ โดยมาตรการทางการแพทย์โดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างน้อย 2 คน มีความเห็นพ้องต้องกันและจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้กระทำความผิดด้วย ควบคู่กับมาตรการทางกฎหมาย เช่น ให้พักอาศัยในสถานที่ที่ศาลกำหนด, ห้ามออกนอกประเทศ, ต้องแจ้งเมื่อมีการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน, ห้ามทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด, ใส่อุปกรณ์ติดตามตัว เป็นต้น เพื่อไม่ให้มีการกระทำผิดซ้ำขึ้นอีก

Advertisement

“จุรินทร์” ยัน ปชป. ไม่หนุน “กัญชาเสรี”

People Unity News : 25 ตุลาคม 2565 “จุรินทร์” ยัน ปชป. ไม่หนุน “กัญชาเสรี” ชี้ แต่ละพรรคมีจุดยืนของตนเอง แต่ยังคุยกับ “อนุทิน” ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล

นายจุรินทร์​ ลัก​ษ​ณ​วิศิษฏ์​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​พาณิชย์​ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์​ กล่าวถึงนโยบายกัญชาเสรีว่า ได้พูดไปชัดเจนแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์​ สนับสนุนกัญชาเพื่อการเเพทย์​ แต่ไม่สนับสนุน​เรื่องกัญชาเสรี​ เพราะฉะนั้น​พรรคจะใช้หลักนี้ในการพิจารณา​ เพราะมองว่ากัญชาเสรีจะสร้างปัญหา​ให้กับประเทศในอนาคตระยะยาว​ จึงเป็นที่มาในการกำหนดหลักเกณฑ์​ที่เราจะไม่สนับสนุนกัญชาเสรี​ แต่ว่าสนับสนุนกัญชาที่จะนำไปใช้ทางการแพทย์​

ส่วนจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์​ จะส่งผลกระทบ​ต่อความสัมพันธ​ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์​และพรรค​ภูมิใจ​ไทย​หรือไม่​ ​ นายจุรินทร์​ ไม่ได้ตอบคำถาม​ แต่ย้ำว่าหลักใหญ่จะต้องคำนึงถึงประโยชน์​ของประเทศ​ ต้องให้ประเทศเดินหน้าเป็นหลัก​ ขณะที่การพูดคุยกับนายอนุทิน​ ชาญ​วี​รกูล รองนายกรัฐมนตรีและ​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​สาธารณสุข​ ในฐานะ​หัวหน้า​พรรค​ภูมิใจ​ไทย​ ก็คุยกันในฐานะพรรคร่วม​รัฐบาล​ แต่จุดยืนทางการเมืองของแต่ละพรรค​ เชื่อว่าทุกพรรคมีจุดยืนเป็นของตัวเอง​ และพรรคประชาธิปัตย์​ก็มีจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องนี้

Advertisement

Verified by ExactMetrics