วันที่ 26 พฤศจิกายน 2024

“อนุชา” เผย งวด 1 ต.ค. เพิ่มสลากดิจิทัลเป็น 12.8 ล้านฉบับ ย้ำเพิ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป

People Unity News : วันนี้ (วันที่ 13 กันยายน 2565) เวลา 16.30 น. ที่ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคา พร้อมด้วย พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล  เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาว่า  สำนักงานสลากฯ ได้ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาตามโร้ดแมปที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง การจำหน่ายสลากดิจิทัล จากการจำหน่ายสลาก 6 งวดที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา ทำให้เห็นว่า สลากราคา 80 บาทมีอยู่จริง ประชาชนให้ความสนใจ  เมื่อถูกรางวัลก็ขึ้นเงินรางวัล สะดวก ง่าย ไม่ยุ่งยาก สำหรับงวด 1 ตุลาคม 2565 จะเพิ่มสลากเข้าไปในระบบดิจิทัลเป็น 12,879,500 ฉบับ จำนวนตัวแทนจำหน่าย 25,759 ราย  พร้อมกันนั้น ก็ได้เพิ่มจุดจำหน่ายสลาก 80 เป็น 1,076 จุด กระจายอยู่ทั่วประเทศและในระยะต่อไป จะมีการจำหน่ายที่จุดบริการน้ำมันทั่วประเทศด้วย

สำหรับการบังคับใช้กฎหมาย กับแพลตฟอร์มที่กระทำผิดกฎหมายในความผิดฐานเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินกว่าราคาที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาลในระบบออนไลน์ทั่วประเทศ ขณะนี้มีทั้งหมด 17 แพลตฟอร์ม มีข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินคดีแตกต่างกันไป  ไม่ว่าจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.การพนัน และข้อหาฉ้อโกงประชาชน  ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอปิดเว็บไซต์ที่กระทำความผิด และต้องรอฟังคำสั่งศาล ในช่วงปลายเดือนนี้ต่อไป

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนท้ายว่า รัฐบาลมีความมุ่งหมายและตั้งใจจริงที่จะแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้ซื้อรักษาสิทธิ์ของตนเองโดยการซื้อสลากตามราคา ในช่องทางที่สำนักงานฯ ดำเนินการให้ และช่วยกันปฏิเสธการซื้อสลากเกินราคา เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน

Advertisement

เพื่อไทยเปิด 2 นโยบายแรก “เกษตรแบบตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” – “1 ครอบครัว 1 Soft Power”

People Unity News : 10 กันยายน 65 “แพทองธาร” เปิด 2 นโยบายแรก “เกษตรแบบตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” – “1 ครอบครัว 1 Soft Power” อาสาขอเป็นเซลส์แมนขนสินค้าเกษตรไปขายต่างประเทศ

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย กล่าวบนเวที “สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ”ว่า วันนี้รู้สึกดีใจ และเป็นเกียรติที่ได้มาปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ลงเครื่องก็มีความสุข เพราะเชียงใหม่ คือบ้านเกิดของพ่อและอา ทำให้หายคิดถึงกันได้นิดนึง ตอนเด็กๆ เคยมาฟังพ่อปราศรัยที่นี่ รู้สึกตื่นเต้นมาถึงตอนนี้

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การพัฒนาเชียงใหม่และภาคเหนือเป็นสิ่งที่เพื่อไทยทำมาโดยตลอด ตนจะคงดำรงเจตนารมย์นี้ต่อไป ตนมีเลือดเนื้อเชื้อไขคนเมือง ไม่มีทางลืมภาคเหนือแน่นอน อยากจะให้ประชาชนทั่วประเทศมั่นใจ ถ้าเพื่อไทยเข้ามาทำงานเมือง เมื่อไหร่จะสร้างความกินดีอยู่ดีให้อย่างแน่นอน เอาหนี้สินเปลี่ยนเป็นการเติมเงินในกระเป๋า วันนี้นำผู้สมัครมามากมาย เพื่อให้เห็นความพร้อม ต่อศึกการเลือกตั้ง วันเลือกตั้งเมื่อไหร่ขอให้กาพรรคเพื่อไทยทุกๆบัตร

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า4 ปีภายใต้รัฐบาลเพื่อไทย จะทำให้ทุกคนกินดีอยู่ดีอย่างแน่นอน ส่วนคำพูดที่ว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” ที่ได้ฟังจากชายคนหนึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวด แต่ผู้หญิงคนนี้และพรรคเพื่อไทยจะทำได้ อย่างแน่นอน เหมือนที่เคยทำมาแล้ว

น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวว่า วันตนตื่นเต้น แต่ก็รู้สึกมีความสุขจากกำลังจากทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่ แม้รู้ดีว่าศึกหน้าจะหนัก แต่วันนี้เพื่อไทยลั่นกองสะบัดชัยเพื่อประกาศความพร้อมให้ทุกคนรับทราบ หลายคนบอกกับตนรวมถึง นายทักษิณ ว่า ใครจะมาเป็นนายกฯ จะต้องทำงานหนักอย่างมากในรัฐบาลหน้า เพราะรัฐบาลนี้ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ประเทศหยุดนิ่ง พัฒนาล่าช้า ยาเสพติดเต็มไปหมด จับตรงไหนก็มีปัญหา แต่ตนมั่นใจว่าประสบการณ์ของบุคคลากรของพรรคจะพัฒนา ถ้าได้โอกาสจากประชาชนแบบแลนด์สไลด์ พรรคเพื่อไทยจะเป็นตำตอบของทุกปัญหา

ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย จะเริ่มทำจากปัญหาระยะสั่น คือการลดรายจ่ายให้ประชาชน จะต้องมำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ระบบราชการต้องเข้าถึงได้ง่าย จะต้องมีระบบออนไลน์ One stop service ทั่วทุกจังหวัด จะต้องมีการกระจายอำนาจ ความเจริญจะต้องมีทั่วทุกจังหวัด จะต้องมีโอกาสที่จะขจัดหนี้ของประชาชนให้ออกไปจากชีวิต

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า วันนี้ตนขอเสนอนโยบายหลักๆ2 ข้อในวันนี้ คือนโยบายการเกษตร ต้องการจะเอา “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ซึ่งตนก็มีที่ปรึกษาเรื่องการตลาด จากคนที่ทุกคนที่รู้ว่าใคร และตนก็จะรับเป็นเซลล์ไปขายสินค้าของเกษตรกรให้กับต่างประเทศ เมื่อเกษตรกรมีกินมีใช้ ก็จะส่งผลต่อระบบทั้งประเทศ

นอกจากนี้ยังมี นโยบาย “1 ครอบครัว 1ซอฟต์พาวเวอร์” เป็นการส่งเสริมศักยภาพของประชาชนทุกอาชีพ คนไทยสามารถปรับตัวเอง ให้เข้ากับทุกวัฒนธรรม และรู้จักพลิกแพลง พรรคเพื่อไทยมองเห็นโอกาส ว่าจะสามารถทำตรงนี้ได้ หากตอนนี้มี20ล้านครอบครัว จะหาครอบครัวละ1คน ก็ได้ 20 ล้านคนจะนำคนเหล่านั้นมาเจียระไน ฝึกฝน เพื่อสร้างรายได้และดูแลครอบอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ตอนนี้อยากให้ประชาชน กรอกรายละเอียดในเว็บไซต์ ว่าใครในครอบครังเป็นที่มีศักยภาพด้านใดบ้าง หากต่อไปในอนาคตเพื่อไทยได้มีโอกาส ก็จะเอาข้อมูลตรงนี้ไปต่อยอด จัดให้มีหน่วยงานดูแล จัดคัดแยกบุคคลตามศักยภาพด้านต่างๆ โดยผู้เป็นนายกฯจะเป็นผู้ดูแล รัฐจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด 20 ล้านคนจะเป็นเเรงงานสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวของเขามีกินมีใช้ อย่างมีเกียรติ

Advertisement

ไทยสร้างไทยชู “สุดารัตน์” แคนดิเดตนายกฯ ชี้ตั้งใจทำงานเพื่อคนไทยทุกคน

People Unity News : 9 กันยายน 65 “โภคิน-น.ต.ศิธา” หนุน “คุณหญิงสุดารัตน์” แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคไทยสร้างไทย ชี้ตั้งใจทำงานเพื่อคนไทยทุกคน ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง พร้อมเปิดรับคนอุดมการณ์เดียวกัน

นายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยไทยสร้างไทย กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในโอกาสที่ที่ประชุมพรรคไทยสร้างไทยให้ความไว้วางใจดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค โดยมั่นใจว่าคุณหญิงสุดารัตน์จะเป็นผู้นำพรรคเพื่อร่วมกับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนเปลี่ยนประเทศให้สำเร็จ เพื่อปลดปล่อยและสร้างพลังให้กับพี่น้องประชาชนทุกด้าน ต้องร่วมกัน ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากแนวคิดและวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยมและรัฐราชการที่กดทับการดำรงชีวิต และการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะคนตัวเล็ก

นายโภคิน กล่าวว่า จากการร่วมทำงานกับคุณหญิงสุดารัตน์ ได้เห็นความตั้งใจ ความเสียสละ การใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลา การมีน้ำใจและมิตรไมตรีกับผู้คนทั้งหลาย การให้ความสำคัญกับผู้คนทุกรุ่นทุกวัย ตลอดจนความตั้งใจอย่างแรงกล้า ที่จะมาทำงานเพื่อบ้านเมืองไม่ใช่มาทำเพื่อตัวเอง เพราะประเทศกำลังอยู่ในสภาวะที่อันตรายอย่างยิ่งในทุกๆด้าน อันจะนำไปสู่ความตกต่ำอย่างถึงที่สุดจนยากจะแก้ไข

“ผมได้เห็นความตั้งใจของคุณหญิงสุดารัตน์ ที่จะสร้างพรรคไทยสร้างไทยให้เป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชน เอาตัวเองเป็นเสาเข็มและสะพานเชื่อมให้กับคนทุกรุ่นทุกวัย มีความเป็นผู้นำ พร้อมเป็นกองหน้าของผู้คนที่รักชาติ รักประชาธิปไตย และต้องการทำเพื่อคนไทยทุกคน โดยเฉพาะคนตัวเล็ก ที่กำลังประสบกับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสในเวลานี้ ผมจะเสนอคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อเสนอคุณหญิงสุดารัตน์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค และของคนไทยทุกคนต่อไป” นายโภคิน กล่าว

ด้าน นต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ยืนยันสนับสนุนคุณหญิงสุดารัตน์เป็นแคดิเดตนายกรัฐมนตรี ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาเรื่องของการรวมกับพรรคสร้างอนาคตไทย ขอยืนยันว่าหากใครมี อุดมการณ์เดียวกับเรา ก็พร้อมที่จะเปิดรับมาร่วมเส้นทางเดียวกัน เพราะวันนี้พวกเรามีความเชื่อมั่นว่าคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์จะเป็นทางออกเดียวในการแก้ไขปัญหาให้กับประเทศไทย

Advertisement

“สมคิด” พร้อมเป็นแคนดิเดตนายกฯ

People Unity News : 8 กันยายน 65 “สมคิด” ระบุ ขอทำการเมืองใหม่ เปิดทางทุกฝ่ายร่วมงาน ไม่ขัดแย้งใคร พร้อมเป็นแคนดิเดตนายกฯ ถ้าพรรคเสนอ

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดตัวร่วมงานกับพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ว่า มาให้กำลังใจและอธิบายเหตุผลที่จะมาช่วยงานเพราะอะไร โดยรับปากจะใช้กำลังความสามารถมาช่วยงานพรรค และไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง การสร้างพรรคไม่ใช่มาแข่งขัน แต่ต้องการแสวงหาความร่วมมือ ความสามารถของทุกคน ทั้งภายในและนอกพรรคมาช่วยกัน

“พร้อมทำงานร่วมกับพรรคอื่น ที่ต้องการแก้ไขปัญหาในขณะนี้ รวมถึงวางรากฐานอนาคต เพราะเราช้าไปแล้ว และเพื่อนบ้านแซงไปแล้ว ไม่อยากเห็นประเทศแย่ไปกว่านี้ สิ่งสำคัญเวลานี้คือเราต้องจัดเตรียมชุดความรู้เอาไว้ และต้องให้กำลังใจรัฐบาลทำให้ดีที่สุด จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง แล้ววันนั้นประชาชนจะตัดสินใจเองว่าใครจะมาอยู่ในสภาฯ วันนี้จึงมาให้กำลังใจและรวมพลัง และรับปากว่าจะเป็นประธานพรรค” นายสมคิด กล่าว

ส่วนจะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคหรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า เป็นกลไกในพรรค เราทำพรรคก็เห็นว่าพร้อมและเป็นประโยชน์ที่จะช่วยได้ ยินดีทุกบทบาท แต่สิ่งสำคัญคือประชาชนต้องการหรือไม่ ถ้าส่วนใหญ่ต้องการให้กลับมา นำพาคนที่มีความสามารถเพื่อช่วยประเทศชาติ มาทำงานร่วมกับคนอื่น พรรคก็ต้องพร้อมที่จะเสนอตนและตนก็พร้อมที่จะช่วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าเวลาเลือกตั้งมาถึงหรือยัง และพรรคพร้อมหรือยัง ส่วนตนพร้อมอยู่แล้ว และต้องการให้พรรคเข้มแข็ง เป็นตัวเอง เกาะเกี่ยวอยู่กับปรชาชน และพรรคจะเข้มแข็งเอง พรรคที่ตั้งใหม่ จากต้นกล้าเป็นต้นใหญ่ ต้องใช้เวลา และพรรคที่เป็นต้นกล้าก็เป็นความหวังทั้งนั้น

เมื่อถามว่าที่ระบุว่าการเมืองเหมือนสนามม้า ที่ต้องซื้อม้าเข้าคอก พรรคสร้างอนาคตไทยจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า เราจะพูดถึงอนาคต จะไม่พูดอดีต และไม่ขัดแย้งกับใคร พูดสิ่งที่เป็นจริง ทำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง จะทำให้คนรุ่นหลังรู้คนการเมืองที่ดีทำได้ แม้จะลำบากไม่ต้องใช้เงินก็ทำได้ และอยากทำให้เป็นตัวอย่าง

เมื่อถามว่า พรรคสร้างอนาคตไทยพร้อมจะทำงานร่วมกับรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อีกหรือไม่ นายสมคิด ปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าวและเดินทางกลับทันที

Advertisement

ครม.ให้กู้เงิน 85,000 ล้านบาทบริหารค่า FT

People Unity News : 6 กันยายน 65 “สุพัฒนพงษ์” เผย ครม.เห็นชอบกระทรวงพลังงาน กู้เงิน 85,000 ล้านบาท บริหารค่า FT เตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือค่าไฟครัวเรือน เข้า ครม.สัปดาห์หน้า ให้มีผลในรอบบิลนี้

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแผนการกู้เงินเพื่อบริหารภาระค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ตามนโยบายของรัฐบาล ประจําปีงบประมาณ 2566  วงเงินประมาณ 85,000 ล้านบาท ส่วนการประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า กระทรวงพลังงานจะเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานแก่ประชาชนในด้านค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ให้ที่ประชุมพิจารณา โดยจะสามารถออกมาตรการช่วยเหลือได้ทันในรอบบิลเดือนนี้

“การประชุม ครม.วันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงประชาชน โดยเฉพาะภาระค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาลทำควบคู่ไปกับการส่งเสริม การติดตั้ง Solar Rooftop แต่กระบวนการต้องใช้เวลานาน จึงจะบูรณาการทำงาน ทั้งจากกระทรวงพลังงาน  และการไฟฟ้า โดยจะเร่งรัดการดำเนินการให้เร็วขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน สำหรับครัวเรือนที่มีศักยภาพในการติดตั้งหรือลงทุนใน Solar Rooftop ได้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว

Advertisement

“พล.อ.ประวิตร” ทุ่ม 100 ล้านเร่งแก้น้ำเค็มรุกบางปะกง

People Unity News : 1 กันยายน 2565 “พล.อ.ประวิตร” ยันน้ำไม่ท่วมเหมือนปี 54 ย้ำมีคณะกรรมการดูแลใกล้ชิด ไม่แล้ง 3 ปีแล้ว เตรียมทุ่ม 100 ล้านแก้น้ำเค็มรุกบางปะกง ระบุ ขรก.ต้องตอบสนอง ปชช.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ลงพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำบางปะกง การเพิ่มปริมาณน้ำตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี โดยประชุมและมอบนโยบายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับฟังการบริหารจัดการน้ำ ภาพรวมและในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา การบริหารจัดการน้ำพื้นที่ฝั่งขวาแม่น้ำบางปะกง รวมถึงสถานการณ์น้ำต้นทุนเพื่อการผลิตน้ำประปา เพื่อการอุปโภคบริโภคของพื้นที่

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า สัปดาห์หน้ารัฐจะอนุมัติงบ 100 ล้านบาทสร้างประตูน้ำแก้ปัญหาน้ำเค็มลุกลาม ซึ่งขณะนี้จะรอระบบนิเวศอย่างเดียวไม่ได้ เพราะน้ำเค็มรุกไปถึง อ. บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี หากไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำได้ประชาชนก็จะด่ารัฐบาล ตอนนี้ประชาชนกำลังห่วงเรื่องฝน รับรองว่าจะไม่เกิดน้ำท่วมอย่างปี 54 แน่นอน เพราะที่ผ่านมามีคณะกรรมการทั้งระดับจังหวัดและลุ่มน้ำดูแล จนไม่เกิดภัยแล้งมา 3 ปี และร่วมมือกันการกระจายน้ำตลอดเวลาจากฝนตกทางเหนือ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วม นอกจากนี้การประปาต้องมีแหล่งน้ำสำรอง จะรอแต่น้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติลุ่มน้ำต่างๆอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเก็บน้ำดิบ มีแหล่งน้ำสำรองตลอดเวลา

“การแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ถ้ามีน้ำสมบูรณ์ทุกฤดูจะทำให้การปลูกพืชต่างๆได้ พัฒนาการทั้งด้านชีวิตความเป็นอยู่จะเกิดขึ้น ขอฝากข้าราชการและประชาชนต้องทำงานร่วมกัน โดยข้าราชการจะต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของประชาชน เพราะเงินเดือนมาจากภาษีของประชาชนจึงต้องจำไว้ว่าจะต้องประสานกับประชาชนเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการทำงาน โดยจะต้องบูรณาการสร้างความรับรู้ให้ประชาชนเข้าร่วมส่วนร่วมในการแก้ปัญหาน้ำด้วย ขณะที่ประชาชนมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ต้องบอกข้าราชการ และข้าราชการก็จะต้องสนองความต้องการของประชาชน” พล.อ.ประวิตร กล่าว

Advertisement

ป.ป.ช.โอดหน่วยงานไม่ร่วมมือลงโทษวินัยหลังชี้ขาด

People Unity News : 31 สิงหาคม 2565 เลขาฯ ป.ป.ช. เผยชี้มูลวินัยไร้รูปธรรม หน่วยงานต้นสังกัดไม่ให้ความร่วมมือลงโทษ เตรียมแก้กฎหมาย

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงผลการชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรงและไม่ร้ายแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่เริ่มปี 2565 ถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมารวม 260 เรื่อง แต่พบว่าเมื่อแจ้งกลับไปยังหน่วยงานต้นสังกัดให้ลงโทษ กลับพบว่าลงโทษน้อยมาก เช่น เดือนมกราคม แจ้งวินัยร้ายแรง 7 ราย ลงโทษเพียง 1 เรื่อง เดือนกุมภาพันธ์ ชี้วินัยร้ายแรง 21 เรื่อง ลงโทษ 4 เรื่อง   และเดือนมิถุนายน ชี้วินัยร้ายแรง 25 เรื่อง ลงโทษเพียง 1 เรื่อง

“ทำให้เห็นว่าการชี้มูลความผิดทางวินัยของ ป.ป.ช. และการลงโทษทางวินัยของหน่วยงานต้นสังกัดยังมีปัญหาเรื่องความเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งบางคดีมีโทษทางอาญา  อยากให้ต้นสังกัดพิจารณาเรื่องโทษทางอาญากับการลงโทษทางวินัยด้วย และ ป.ป.ช.จะขอพิจารณาเรื่องปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้การลงโทษทางวินัยเป็นรูปธรรม” เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าว

นายนิวัติไชย เปิดเผยถึงโครงการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการแห่งชาติ หรือ CDC ว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนเข้ามา 371 เรื่อง ซึ่งในอนาคตทางสำนักงานจะร่วมมือกับนายชัชชาติ  สิทธิพันธุ์  ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เรื่องการรับเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต รวมทั้งประสานหน่วยงานทุกแห่ง เพื่อจะดูว่าหน่วยงานไหนตรวจสอบเรื่องดังกล่าว เพื่อลดความซ้ำซ้อน และประชาชนสามารถตรวจสอบได้ว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในการแก้ไขของหน่วยงานใด

Advertisement

ครม. อนุมัติ ค่าเสี่ยงภัย อสม. – อสส. 500 บ./เดือน เป็นเวลา 2 เดือน (เม.ย. – พ.ค. 65)

People Unity News : 30 สิงหาคม 65 ที่ประชุม ครม. (30 ส.ค. 65) อนุมัติ 1,050.31 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และค่าเสี่ยงภัย สำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) จำนวน 1,050,306 คน ในอัตรา 500 บ./คน/เดือน สำหรับเดือน เม.ย. – พ.ค. 65 ตามโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และค่าเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของ อสม. ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในชุมชน

อสม. และ อสส. ถือเป็นกำลังสำคัญในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคโควิด-19 นับตั้งแต่เดือน ก.พ. 63 เป็นต้นมา ทั้งการให้ความรู้ในการป้องกันและดูแลสุขภาพแก่ประชาชน/ การเฝ้าระวังและคัดกรองกลุ่มเสี่ยง/ การดูแลผู้ป่วยโควิด-19 – แนะนำกลุ่มเป้าหมายตรวจ ATK ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยฯ มาแล้วเป็นเวลา 6 เดือน (ต.ค. 64 – มี.ค. 65) เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้พี่น้อง อสม. ในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งมาอย่างต่อเนื่อง

Advertisement

“ประยุทธ์” ให้กำลังใจ “ประวิตร” ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ

People Unity News : 26 สิงหาคม 65 โฆษกรัฐบาล เผย “พล.อ.ประยุทธ์” ให้กำลังใจ “พล.อ.ประวิตร” ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ ขอเชื่อมั่นการทำงานของรัฐบาล ยืนยันมีเสถียรภาพ มุ่งมั่นทำงานเข้มแข็ง เพื่อประโยชน์ประเทศชาติ ประชาชน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ยืนยันว่าในช่วงเวลานี้ รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐทุกภาคส่วนยังคงปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนตามปกติ โดยในวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้าทำงานที่กระทรวงกลาโหม ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวให้กำลังใจการทำงานกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีด้วย ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะทำหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อประชาชนและประเทศไทยต่อไป

“ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นการทำงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐในขณะนี้ ยืนยันว่ารัฐมนตรีทุกคนและพรรคร่วมรัฐบาลจะร่วมมือกันทำงานอย่างเต็มที่และมีเสถียรภาพ มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ดูแลประชาชนทุกด้านให้ดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องสำคัญเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจที่ต้องรีบดำเนินการขณะนี้ ทั้งการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน การควบคุมราคาพลังงาน ควบคู่กับการดูแลประชาชนด้านสาธารณสุข รัฐบาลจะยืนหยัดทำงานอย่างเข้มแข็งต่อไป เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

Advertisement

 

ครม. อนุมัติเงินอุดหนุนคันละ 1.8 หมื่น – 1.5 แสนบาทหนุนใช้ยานยนต์ EV

People Unity News : 23 สิงหาคม 2565 ที่ประชุม ครม. (23 ส.ค. 65) อนุมัติวงเงิน 2,923.397 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตามประกาศกรมสรรพสามิตเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 65 ดังนี้

รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสาร มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท BEV มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท

มีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 10 กิโลวัตต์ชั่วโมงแต่น้อยกว่า 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง เงินอุดหนุน 70,000 บาท/คัน

มีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป เงินอุดหนุน 150,000 บาท/คัน

รถยนต์กระบะประเภท BEV มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท เฉพาะรถยนต์กระบะที่ผลิตในประเทศและมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป เงินอุดหนุน 150,000 บาท/คัน

รถจักรยานยนต์ประเภท BEV มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท เงินอุดหนุน 18,000 บาท/คัน

โดยผู้ “มีสิทธิ” ขอรับเงินอุดหนุนตามมาตรการจะต้องเป็นบุคคลตามประกาศกรมสรรพสามิตกำหนด เช่น ผู้ประกอบอุตสาหกรรมที่มีโรงงานอุตสาหกรรม ผู้นำเข้าที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เป็นต้น และต้องทำข้อตกลงร่วมกับกรมสรรพสามิต เพื่อรับทราบและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ตลอดจนรับบทลงโทษหากไม่สามารถดำเนินการได้

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนให้ราคาของรถยนต์และรถจักรยานยนต์แบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (BEV) ลดลง ทำให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจในการลงทุน และส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการซื้อ รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้มีการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์แบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (BEV) เพิ่มขึ้นในอนาคต

Advertisement

Verified by ExactMetrics