วันที่ 23 พฤศจิกายน 2024

ด่วน!!การทางฯปรับขึ้นค่าผ่านทางพิเศษฉลองรัช-ทางพิเศษบูรพาวิถี ตั้งแต่ 1 มี.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 25 กุมภาพันธ์ 2567 กทพ.ประกาศปรับอัตราค่าผ่านทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี ตามเงื่อนไขสัญญากองทุน TFFIF ตั้งแต่ 1 มี.ค.67 เป็นต้นไป จากเดิมที่จะปรับขึ้นค่าผ่านทางมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.ปีที่แล้ว

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม จะปรับอัตราค่าผ่านทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี ตามเงื่อนไขสัญญากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย TFFIF ที่จะปรับขึ้นทุก 5 ปี โดยจะปรับอัตราค่าผ่านทางในวันที่ 1 มีนาคม 2567 หลังจากที่ชะลอการปรับขึ้นค่าผ่านทางตามสัญญามาตั้งแต่ 1 กันยายน 2566 เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ใช้ทางพิเศษและประชาชน ทั้งนี้ ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี มิได้มีการปรับขึ้นค่าผ่านทางมากว่า 6 ปี และทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าผ่านทางดังกล่าว คิดคำนวณตามดัชนีผู้บริโภค (CPI) ที่จะปรับขึ้นประมาณ 10% หรือประมาณ 5 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

อัตราค่าผ่านทางพิเศษฉลองรัช

รถ 4 ล้อ ​ราคาเดิม 40 บาท ​ปรับเป็น 45 บาท

รถ 6-10 ล้อ ​ราคาเดิม 60 บาท ​ปรับเป็น 65 บาท

รถมากกว่า 10 ล้อ ​ราคาเดิม 80 บาท ​ปรับเป็น 90 บาท

ยกเว้นด่านฯ รามอินทรา 1 และด่านฯ สุขาภิบาล 5-2

รถ 4 ล้อ​ ราคาเดิม 20 บาท ​ไม่มีการปรับขึ้น

รถ 6-10 ล้อ ​ราคาเดิม 30 บาท ​ปรับเป็น 35 บาท

รถมากกว่า 10 ล้อ ​ราคาเดิม 40 บาท​ ปรับเป็น 45 บาท

อัตราค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี

รถ 4 ล้อ

กรณีเดินทางไม่เกิน 20 กิโลเมตร จะใช้อัตราค่าผ่านทางเดิม

กรณีเดินทางเกิน 20 กิโลเมตร จะปรับอัตราค่าผ่านทางต่ำสุด 5 บาท สูงสุดไม่เกิน 10 บาท โดยคิดตามระยะทาง

รถ 6-10 ล้อ

กรณีเดินทางไม่เกิน 20 กิโลเมตร จะปรับขึ้น 5 บาท

กรณีเดินทางเกิน 20 กิโลเมตร จะปรับอัตราค่าผ่านทางต่ำสุด 10 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 บาท โดยคิดตามระยะทาง

รถมากกว่า 10 ล้อ

กรณีเดินทางไม่เกิน 20 กิโลเมตร จะปรับขึ้น 5 บาท

กรณีเดินทางเกิน 20 กิโลเมตร จะปรับอัตราค่าผ่านทางต่ำสุด 10 บาท สูงสุดไม่เกิน 25 บาท โดยคิดตามระยะทาง

ทั้งนี้ กทพ.ได้พยายามชะลอการปรับขึ้นค่าผ่านทางของทางพิเศษทั้ง 2 สายดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทางพิเศษฉลองรัช ที่ไม่ได้ปรับขึ้นค่าผ่านทางมาเป็นระยะเวลา 15 ปีแล้ว แม้ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ การบำรุงรักษาทางพิเศษเพื่อให้อยู่ในสภาพที่ดี จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีก็ตาม ซึ่ง กทพ. ขอขอบพระคุณประชาชนผู้ใช้ทางพิเศษ ที่ให้การสนับสนุน กทพ. ด้วยดีมาโดยตลอด

Advertisement

อุตุฯ เตือนพายุฤดูร้อน 24-26 ก.พ.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 23 กุมภาพันธ์ 2567 กรมอุตุฯ เตือนพายุฤดูร้อน 24-26 ก.พ.67 ฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่งบริเวณภาคเหนือตอนล่าง อีสาน กลาง รวมทั้งกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และภาคตะวันออก

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า หย่อมความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนในหลายพื้นที่ ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 24-26 ก.พ.67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนหลายพื้นที่ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ฝุ่นละอองในระยะนี้ : ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และมีการระบายอากาศที่ไม่ดี

พยากรณ์อากาศรายภาค

กทม.-ปริมณฑล : อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

ภาคเหนือ : ตอนบน : อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้า ตอนล่าง : เมฆบางส่วน กับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีอากาศร้อน และมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 13-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-38 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-15 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 5-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : อากาศเย็นทางตอนบนของภาค กับมีหมอกบางในตอนเช้า และมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ อุณหภูมิต่ำสุด 20-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-38 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-18 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

ภาคกลาง : อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดลพบุรี สระบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-38 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออก : อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดสระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-38 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) : อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) : อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

Advertisement

กทม. ค่าฝุ่น PM 2.5 พุ่ง หลายพื้นที่สีแดง กระทบสุขภาพ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 กุมภาพันธ์ 2567 สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ เช้านี้ พุ่งสูง หลายเขตอยู่ในระดับสีแดง มีผลกระทบต่อสุขภาพ

ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 เมื่อเวลา 07.00 น. สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เขตหนองแขม 80.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เขตคลองสามวา 78.6 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เขตธนบุรี 78.4 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เขตบางบอน 76.4 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เขตบึงกุ่ม 76.2 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร โดยค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานครอยู่ที่ 67.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ประชาชนควรสวมใส่หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร และจำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรม หรือออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก

Advertisement

“เหนือ-อีสาน” อากาศเย็นถึงหนาว อ่าวไทยคลื่นลมแรงซัดเข้าหาฝั่ง

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 12 กุมภาพันธ์ 2567 กรมอุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” อากาศเย็นถึงหนาว เตือนชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง

กรมอุตุนิยมวิทยาเผยบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนล่างและภาคใต้มีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและห่างฝั่งทะเลอันดามันมีกำลังต่อนข้างแรง โดยอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์น้อยถึงปานกลาง เนื่องจากมีลมที่พัดปกคลุมมีกำลังแรงขึ้น และมีการระบายอากาศที่ดี

Advertisement

เตือนผู้ประกอบการนำแรงงาน 4 สัญชาติต่อใบอนุญาตทำงานภายใน 13 ก.พ.นี้ ย้ำไม่ผ่อนผัน

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 10 กุมภาพันธ์ 2567 ทำเนียบ – “คารม” ย้ำเตือนผู้ประกอบการนำแรงงาน 4 สัญชาติ ตามมติ ครม. 5 ก.ค. 65 ที่ใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุ ภายในวันที่ 13 ก.พ. 67 เร่งต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th ก่อนใบอนุญาตทำงานสิ้นอายุ

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 เห็นชอบให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อทำงานถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 แล้ว อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานต่อไปได้ ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 หรือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ตามแต่ละกรณีนั้น สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 หากประสงค์จะทำงานต่อไปถึง 13 กุมภาพันธ์ 68 สามารถทำได้ โดยต้องยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th พร้อมเอกสารหลักฐานตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอ (บต. 50 อ. 5) และชำระค่าธรรมเนียมค่ายื่นคำขอ ฉบับละ 100 บาท และค่าธรรมเนียมต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ฉบับละ 900 บาท ภายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567

หลังจากดำเนินการครบถ้วนแล้ว ให้ยื่นหลักฐานการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรฯ (Visa) ไม่น้อยกว่าวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 และหลักฐานการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน หรือการทำประกันสุขภาพกับกระทรวงสาธารณสุข แล้วแต่กรณี ต่อกรมการจัดหางาน

กรมการจัดหางาน ยืนยันว่าไม่มีการขยายระยะเวลา หากต้องการให้แรงงานทำงานต่อไปถึงวันที่ 13 ก.พ. 2568 ให้เร่งดำเนินการยื่นเอกสารต่ออายุใบอนุญาตภายในกำหนด มิฉะนั้นการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานจะเป็นอันสิ้นสุดแรงงานต่างด้าวต้องเดินทางกลับประเทศต้นทางและหากประสงค์จะกลับเข้ามาทำงาน ในประเทศไทย ต้องดำเนินการตามกระบวนการนำเข้า MOU

ทั้งนี้ หากติดปัญหาไม่สามารถดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเองได้ สามารถติดต่อขอรับบริการจากเจ้าหน้าที่ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 ในท้องที่ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานที่ทำงานของคนต่างด้าว หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694

Advertisement

ข่าวดี สหรัฐฯเตรียมส่งคืนโบราณวัตถุ “โกลเด้นบอย” ให้ไทย พ.ค.นี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 4 กุมภาพันธ์ 2567 “เสริมศักดิ์” เผยความคืบหน้าส่งคืนสมบัติชาติ “โกลเด้นบอย” โบราณวัตถุล้ำค่า กลับคืนประเทศไทย พ.ค.นี้

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการส่งคืนโบราณวัตถุ “โกลเด้นบอย” โบราณวัตถุล้ำค่า จากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา กลับคืนสู่ประเทศไทยว่า ได้มอบหมายให้กรมศิลปากร ประสานรายละเอียดขั้นตอนในการส่งคืน ทราบว่าทางอเมริกาจะส่งโบราณวัตถุดังกล่าวผ่านสถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก โดยจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมด และจะเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไทยเยือนพิพิธภัณฑ์เพื่อร่วมในพิธีรับมอบด้วย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางพิพิธภัณฑ์กำลังจัดทำรายละเอียดในการส่งคืนโบราณวัตถุดังกล่าว เพื่อให้ฝ่ายไทยพิจารณา หากแล้วเสร็จจะมีพิธีรับมอบต่อไป ทั้งนี้ เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย จะได้จัดพิธีรับมอบอีกครั้ง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในเดือนพฤษภาคม 2567 จากนั้นจะนำโบราณวัตถุจัดแสดงให้ประชาชนชาวไทยได้ชื่นชม

นางสาวเพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ โฆษกกระทรวงวัฒนธรรม (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยด้วยว่า สำหรับโบราณวัตถุที่จะได้รับกลับคืนครั้งนี้ ประกอบด้วย ประติมากรรมพระศิวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นรูปพระศิวะสวมเครื่องทรงแบบบุคคลชั้นสูง ถือเป็นโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยม ซึ่งพบไม่มากนัก ประติมากรรมนี้สูงถึง 129 เซนติเมตร มีเทคนิคการสร้างแบบพิเศษคือ หล่อด้วยสำริดและกะไหล่ทอง ส่วนประติมากรรมสตรี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 เช่นกัน สูง 43 เซนติเมตร อยู่ในท่านั่งชันเข่าและยกมือไหว้เหนือศีรษะ แต่งกายแบบบุคคลชั้นสูง หล่อด้วยสำริดมีร่องรอยการประดับด้วยโลหะเงินและทอง

ทั้งนี้ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ได้กล่าวถึงนโยบายการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศ กลับคืนสู่ประเทศไทยว่า เป็นภารกิจที่สำคัญ ที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สำหรับโบราณวัตถุที่กำลังดำเนินการเร่งติดตามในปัจจุบัน ได้แก่ โบราณวัตถุจากเมืองโบราณศรีเทพที่อยู่ในขั้นตอนการประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานของสหรัฐอเมริกา ได้แก่ สำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (HSI) กรุงเทพฯ โดยจะดำเนินการตามช่องทางทางการทูต และเป็นไปด้วยความร่วมมือด้วยมิตรภาพอันดีของสองประเทศ

Advertisement

อีสาน-ตะวันออก เย็นลง 1-4 องศาฯ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 22 มกราคม 2567 อุตุฯ เผยภาคอีสานอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้ากับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาฯ ส่วนภาคตะวันออก อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาฯ

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่ได้แผ่ปกคลุมถึงบริเวณประเทศจีนตอนใต้และเวียดนามตอนบนแล้ว คาดว่าจะแผ่คลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกในวันนี้ (วันที่ 22 ม.ค. 67) โดยจะทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้ากับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส ส่วนภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้เริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยตอนล่างหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้ : ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันปานกลางถึงมาก เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และการระบายของอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี

พยากรณ์อากาศรายภาค

กทม.-ปริมณฑล : มีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคเหนือ : อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 13-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-35 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 4-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : อากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้ากับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 13-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 9-13 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคกลาง : อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคตะวันออก : อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนมากตามแนวชายฝั่งทะเล อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) : มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎ์ธานี ขึ้นไป ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช ลงไป ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) : มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ และตรัง อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

เตือน! อย่าหลงเชื่อคำเชิญชวน “ทำงานง่ายรายได้ดี”

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 20 มกราคม 2567 ทำเนียบ – รองโฆษกรัฐบาล ย้ำเตือนผู้ที่ต้องการทำงานเสริมหารายได้ โดยเฉพาะแม่บ้านอยู่บ้านเลี้ยงลูก ระวังถูกมิจฉาชีพหลอก อย่าหลงเชื่อคำเชิญชวน “ทำงานง่ายรายได้ดี”

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนอย่าหลงเชื่อหลอกทำงานรายได้ดี โดยเฉพาะ แม่บ้านที่อยู่บ้านเลี้ยงลูก ดูแลบุตรหลานตลอดวัน และอยากทำงานเสริม หาเงินได้ง่าย สะดวก ระวังถูกมิจฉาชีพหลอกเอาเงินมัดจำของท่าน ผ่านคำเชิญชวน ทำงานที่บ้านได้ง่าย ๆ แถมรายได้ดี..แต่ต้องเสียค่าสมัครก่อนทำงาน ซึ่งงานหลัก ๆ ที่มิจฉาชีพชอบอ้าง มีดังนี้

1.รับจ้างเขียนใบปลิวและเขียนรายงาน ลักษณะงาน ต้องเขียนให้ได้ 50 แผ่นขึ้นไป ถึงจะได้เงิน

2.แยกกระดุม-ลูกปัด ลักษณะงาน สีเดียวกันให้เอาไว้ในถุงเดียวกัน ค่าแรง 100-130 บาท

3.พับกระดาษ พับนกและดาว เน้นกลุ่มเป้าหมายที่ชอบงานแฮนด์เมด งานประดิษฐ์ สามารถทำได้ทุกคนไม่จำกัดอายุ มีการสอนขั้นตอนวิธีการทำงานให้ก่อนลงมือทำ

4.ปักครอสติส ลักษณะงาน ผู้รับงานต้องจ่ายค่าอุปกรณ์เป็นค่ามัดจำก่อน ตามขนาดและลวดลายที่รับมา โดยเงินมัดจำจะคืนให้ เมื่องานเสร็จและผ่านเรียบร้อยแล้ว

5.ปักเฟรม มีค่าประกันงาน จะได้คืนเมื่อทำครบ ร้านจะส่งงานให้ทำ 20 รอบ/ 1 มัดจำ อุปกรณ์ฟรี สมัครครั้งเดียวทำได้ตลอด ไม่มีกำหนดวันส่งงาน

นายคารม กล่าวว่า ข้อสังเกตที่ใช้บ่อย มักอาจถูกหลอก ได้แก่ เสียค่าสมัครก่อน มัดจำก่อน งานเสร็จจะคืนเงินให้ สมัครครั้งเดียวทำได้ตลอด ไม่มีกำหนดวันส่งงาน เป็นต้น ขอให้ผู้ที่ต้องการทำงานเสริม ตรวจสอบรายละเอียดงานให้ครบถ้วน รวมถึงพิจารณาข้อเสนองานต้องสมเหตุสมผล ไม่ง่ายจนเกินไป แหล่งประกาศงานจะต้องมีความน่าเชื่อถือ ขอให้ตรวจสอบสถานที่ประกาศงานว่ามีอยู่จริง หรือใช้แอปฯ คัดกรองเบอร์โทร ตรวจสอบเบื้องต้นเวลาต้องโทรคุย ระวังถ้าขอให้ส่งข้อมูลส่วนตัวหรือจ่ายเงินก่อนทำงาน ยิ่งต้องดูให้ดี เพราะอาจถูกหลอกโดยเอาข้อมูลของท่านไปหลอกผู้อื่นต่อ

หวยใต้ดินมีหนาว!! สนง.สลากฯ เตรียมทดลอง ออกสลากเลขท้าย 2-3 ตัว ภายในปีนี้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 19 มกราคม 2567 สนง.สลากฯ เดินหน้าทดลองรางวัลเลขท้าย 2-3 ตัว ผ่านออนไลน์ หวังสร้างแรงจูงใจ ปัดเงินบางส่วนเข้ากองทุน กอช. หนุนออมเงินระยะยาว เมื่อซื้อเลขท้าย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า  หลังจากคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เห็นชอบให้ศึกษาและทดลองการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ตัวเลข 3 หลัก หรือ NUMBERS 3 (N3)  ด้วยการออกรางวัลเลขท้าย 2-3 ตัว ผ่านออนไลน์  ผ่านระบบทดลอง Sand Box  เปิดทดลองให้ประชาชนซื้อรางวัลเลขท้าย 2-3 ผ่านออนไลน์ ประมาณ 1 ล้านคน เป็นการเปิดระบบให้ซื้อขายสลากจริง  ออกรางวัลจริง และจ่ายเงินรางวัลด้วย คาดว่าเริ่มได้ในช่วงไตรมาส 2 หรือช่วงปลายปีนี้ เพราะต้องทยอยศึกษาและประเมินผลการออกรางวัล โดยอ้างอิงจากการออกรางวัลใหญ่ประจำเดือน

“รางวัลเลขท้าย N 3 หรือ รางวัลเลขท้าย 2-3 ตัว ต้องการดึงผู้เล่นหวยใต้ดินกลับมาอยู่บนดิน กำหนดราคาเบื้องต้น 20-50 บาทต่อรายการ สนง.สลากฯยังศึกษาแรงจูงใจ โดยนำเงินบางส่วนที่ซื้อเลขท้าย เช่น ซื้อ 20 บาท นำส่งเงินเข้ากองทุน กอช.  1 บาท เพื่อเป็นเงินออมระยะยาว สำหรับผู้มีอาชีพอิสระ เป็นสมาชิกกองทุน กอช. เพื่อนำเงินจากการเสี่ยงโชค ปันเงินบางส่วนเอาไว้สะสมเป็นเงินออมระยะยาว “ นายธนวรรธน์ กล่าว

นอกจากนี้ สำนักงานสลากฯ ยังเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนสลากดิจิทัลขายผ่านแอปเป๋าตัง เป็น 23-24 ล้านใบต่องวด  เพื่อให้ระยะเวลาการซื้อสลากดิจิทัลหมด ใกล้กับวันออกรางวัลวันที่ 1 หรือ 16 ของทุกเดือนมากขึ้น และต้องการให้ตลาดค่อยๆปรับตัว จากเดิมสลากดิจิทัลจะหมดในช่วงสองสัปดาห์แรก  หวังแก้ปัญหาสลากฯเกินราคา ซึ่งได้ผลชัดเจนมากขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาประชาชนสนใจซื้อสลากดิจิทัลมากขึ้น ลดปัญหาหวยใต้ดิน อั้นเลขสวย จ่ายเงินรางวัลไม่ครบ

พันโทหนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า การออกรางวัลเลขท้าย 2-3 ตัว เป็นการซื้อขายรางวัลผ่านออนไลน์ มีความแตกต่างจากการออกรางวัลดิจิทัล ซึ่งอ้างอิงการจัดพิมพ์สลากเอาไว้ล่วงหน้าตามที่กำหนด  จึงมีปัญหาตัวแทนผู้ขายสลาก ขายสลากไม่หมด หากเลขไม่สวย ไม่เป็นที่นิยม ส่วนผู้ซื้อต้องยอมซื้อสลากที่ไม่ชอบ  เพราะเลขสวยๆขายหมดไปแล้ว ขณะที่รางวัล N3 เลขท้าย 2-3 ตัว ใครต้องการซื้อเลขอะไร เลขที่ต้องการชอบ ซื้อได้แบบไม่อั้น ทั้งจำนวนเงิน และเลขที่ต้องการ  ส่วนผู้ขายสลากฯสามารถขายได้ทุกเลขที่ประชาชนต้องการซื้อ  จึงไม่ต้องกลัวว่าเลขที่ชื่นชอบจะหมด หมดความกังวลสำหรับผู้ขาย ตัดปัญหาให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย เพราะได้นำเลขที่ซื้อและขายมาเฉลี่ยรางวัลรวมกันแจกรางวัลตัดสัดส่วนในแต่ละงวด โดยนำเงินรางวัลมาหารเฉลี่ย ทำให้รางวัลเพิ่มขึ้น ลดลง ในแต่ละงวด แตกต่างกัน

“ยอมรับว่า คนรุ่นใหม่ นิยมเล่นพนันตามเว็บออนไลน์ จึงอยากดึงให้มาซื้อรางวัลเลขท้ายของรัฐบาล ซึ่งมักเสี่ยงโชคพนันออนไลน์จากหลายประเทศ รวมถึงสลากฯของประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับตัวแทนขาย อาจเปิดให้ผู้ต้องการมีอาชีพขายสลากฯ เข้ามาเป็นตัวแทนขายผ่านออนไลน์มากขึ้น ตามแพลตฟอร์มที่กำหนด และขายผ่านแอปเป๋าตัง โดยนำไอแพด หรือเครื่องจำหน่ายเคลื่อนที่ นำมาตั้งขายตามจุด”

สลากกินแบ่งรัฐบาล ตัวเลข 3 หลัก (N3)  หรือ เลขท้าย 2-3 ตัว เป็นสลากชนิดใหม่ มีตัวเลขให้เลือกจำนวน 3 หลัก ตั้งแต่ 000-999 และจำหน่ายเฉพาะช่องทางแอปพลิเคชั่น เว็บไซต์ หรือเครื่องจำหน่ายสลากเท่านั้น

โดยกำหนดอายุผู้ซื้อ-ผู้ขาย 20 ปีขึ้นไป และเลือกจำนวน 1 หมายเลขต่อการเลือกซื้อสลาก 1 รายการ การซื้อทุก ๆ 1 รายการ  เตรียมออกรางวัลโบนัสพิเศษ  โดยสุ่มผู้ถูกรางวัล 3 ตัวตรง 1,000 คน จับฉลากเลือกมา  1 หมายเลข  เพื่อให้นักเสี่ยงโชคได้มีสิทธิลุ้นทุกรางวัลโบนัส

สำหรับรางวัลของสลากประเภท N3 มีรายละเอียดดังนี้

รางวัล เงื่อนไข

การถูกรางวัล สัดส่วนเงินรางวัล โอกาสถูกรางวัล

รางวัล 3 ตรง ตรงเลข

ตรงหลัก 30% 1 : 1,000

รางวัล 3 สลับหลัก ตรงเลข

สลับหลัก 30% 1 : 200 (กรณีเลขไม่ซ้ำ)

1 : 500 (กรณีเลขซ้ำ 2 ตัว)

รางวัล 2 ตรง ตรงเลข

ตรงหลัก 39% 1 : 100

รางวัลพิเศษ ตรงกับ

รางวัลพิเศษ 1% 1 : จำนวนผู้ถูกรางวัล 3 ตัว

สำนักงานสลากฯ คาดว่า การศึกษาออกรางวัลรูปแบบใหม่จะทำตลาดปรับตัวได้มากขึ้น เพื่อสู้กับการออกรางวัลของต่างประเทศ มุ่งแก้ปัญหาสลากเกินราคา คาดว่า รางวัลเลขท้าย 2-3 ตัว จะเปิดจำหน่ายได้ภายในปี 2567 นี้

ปภ.ย้ำ 40 จังหวัด ระวังฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง 13-16 ม.ค.

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 13 มกราคม 2567 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เน้นย้ำพื้นที่ 40 จังหวัดภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง เฝ้าระวังสถานการณ์พายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ ในช่วงวันที่ 13-16 ม.ค.67

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้ติดตามสภาวะอากาศและพิจารณาปัจจัยเสี่ยง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศฉบับที่ 4 (4/2567) ลงวันที่ 13 มกราคม 2567 เวลา 05.00 น. แจ้งว่า คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาจะเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบน ประกอบกับบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากสาธารณรัฐประชาชนจีนระลอกใหม่จะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในช่วงวันที่ 13-16 มกราคม 2567 ทำให้มีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าในช่วงแรก บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคกลาง จากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง บริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย โดยมีพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์พายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ระหว่างวันที่ 13-16 มกราคม 2567 แยกเป็น

ภาคเหนือ ทุกจังหวัด

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่ เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น และนครราชสีมา

ภาคกลาง 13 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จึงได้ประสานแจ้ง 40 จังหวัดในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมถึงศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัย ให้เฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยในช่วงดังกล่าว โดยติดตามสภาพอากาศและแนวโน้มสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด และประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบล่วงหน้า รวมถึงจัดเตรียมเครื่องมือเครื่องจักรกลสาธารณภัยและทีมปฏิบัติการเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้พร้อมเผชิญเหตุและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ทันที ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศและข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยให้ปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนตรวจสอบบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา หรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันอันตรายจากการถูกล้มทับ รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า ส่วนเกษตรกรให้จัดทำที่ค้ำยันต้นไม้หรือที่กำบัง เพื่อป้องกันพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย

สุดท้ายนี้ ประชาชนสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” และหากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM รวมถึงสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือต่อไป

Verified by ExactMetrics