วันที่ 24 พฤศจิกายน 2024

เห็นชอบ EIA รถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายและรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-โคราช

People Unity News : คกก.สิ่งแวดล้อมฯเห็นชอบ EIA โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายสถานีศรีรัช-เมืองทอง และโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (ช่วงชุมทางบ้านภาชี-นครราชสีมา)

22 ต.ค.63 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2563 โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมด้วย

ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการพิจารณารายงาน EIA จำนวน 3 โครงการ โดยมีมติ ดังนี้ 1) เห็นชอบต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทอง ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โดยเพิ่ม 2 สถานีเพื่อเข้าสู่เมืองทองธานี ( สถานี MT-01 อยู่บริเวณหน้าอาคารอิมแพ็คชาเลนเจอร์ และสถานี MT-02 อยู่บริเวณด้านหน้าของทะเลสาบเมืองทองธานี ใกล้กับเอส ซี จี สเตเดี้ยม มีระยะทางรวมประมาณ 3 กิโลเมตร) 2) เห็นชอบรายงาน EIA โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (ช่วงชุมทางบ้านภาชี-นครราชสีมา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการส่วนที่เป็นอุโมงค์ การปรับโครงสร้างโครงการบางช่วง การปรับตำแหน่งศูนย์ซ่อมบำรุง และการปรับรูปแบบสถานีนครราชสีมา ให้สอดคล้องกับโครงการรถไฟทางคู่ ทั้งนี้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับข้อสังเกตของที่ประชุมไปประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และ 3) เห็นชอบโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย จังหวัดเพชรบุรี (โพไร่หวาน) ของการเคหะแห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงการอาคารอยู่อาศัยรวมสำหรับเช่า จำนวน 246 ห้อง

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดการขยะ ได้แก่ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการขยะมูลฝอยบนเกาะ เพื่อให้การจัดการขยะมูลฝอยบนเกาะ โดยเฉพาะเกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีการจัดการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ บริหารจัดการขยะมูลฝอยบนเกาะตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ลดปัญหาการขนส่งขยะข้ามไปกำจัดบนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งที่ประชุมเห็นชอบมาตรการการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่เกิดขึ้นในประเทศและที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยการจัดการสถานที่รับคืนขยะอิเล็กทรอนิกส์และนำไปจัดการอย่างถูกต้อง และการยกเลิกนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ 428 รายการ เป็นต้น

Advertising 

“อนุชา” เป็นประธานลงนาม MOU ช่วยผู้บริโภคได้คืนเงินจอง กรณีสินเชื่อบ้านไม่ได้รับอนุมัติ

People Unity News : อนุชา เป็นสักขีพยานร่วมลงนาม MOU ช่วยเหลือผู้บริโภคได้คืนเงินจอง กรณีสินเชื่อบ้านไม่ได้รับการอนุมัติ

วันนี้ (30 กันยายน 2563) เวลา 13.30 น. ณ ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) แนวทางการช่วยเหลือผู้บริโภค กรณีสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อเพื่อชำระค่าอสังหาริมทรัพย์ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อผนึกกำลังของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือผู้บริโภคด้านอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย และผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร่วมลงนาม MOU เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะปฏิบัติตามกรอบแนวทางของ สคบ. กรณีที่ผู้บริโภคประสบปัญหาที่ทางสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อเพื่อชำระค่าอสังหาริมทรัพย์ เป็นผลให้เกิดการริบเงินจอง เงินทำสัญญา และเงินดาวน์สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้บริโภค โดยมี ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนกว่า 300 คน เข้าร่วม

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีที่ภาครัฐบาลและภาคเอกชนได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะการค้าด้านอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นผู้นำทางธุรกิจ เพราะเป็นการค้าที่มีมูลค่าสูง นับว่าเป็นธุรกิจชั้นนำที่เป็นปัจจัย 4 ที่ประชาชนต้องมี โดยความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อคุ้มครองประชาชนไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ขณะเดียวกันการช่วยเหลือเยียวยาจากผู้ค้าด้วยความเห็นอกเห็นใจ จะเป็นต้นแบบในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบการ พร้อมกล่าวแสดงความขอบคุณภาคีเครือข่าย และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ทั้ง 13 แห่ง ที่ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นลำดับแรก แม้ข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวไม่ได้มีการบังคับใช้ในรูปแบบกฎหมาย แต่ถือว่าเป็นสัญญาประชาคมที่ภาคเอกชนได้ร่วมมือกับรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจัง

Advertising 

ดีอีเอส เผยศาลสั่งปิดเว็บพนันไปแล้ว 1,202 เว็บไซต์

People Unity News : พุทธิพงษ์รุกต่อเนื่องนโยบายปิดเว็บพนันออนไลน์ จัดการประชุมหารือร่วมกันระหว่าง กสทช. ไอเอสพี และผู้ให้บริการมือถือทุกราย ติดตามความคืบหน้าเรื่องการระงับการเข้าถึงเว็บไซต์การพนันออนไลน์ เผยมีคำสั่งศาลแล้ว 1,202 เว็บไซต์

23 กันยายน 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ได้มีการจัดการประชุมหารือร่วมกันระหว่าง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี)  และผู้ให้บริการมือถือ (โอเปอร์เรเตอร์) ทุกราย เรื่องการระงับการเข้าถึงเว็บไซต์การพนันออนไลน์ เพื่อติดตามความคืบหน้าและหาข้อสรุปแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วน เพื่อให้การทำงานในเรื่องนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยล่าสุดมีคำสั่งศาลสั่งปิดเว็บพนันออนไลน์แล้ว 1,202 เว็บไซต์ แบ่งเป็นก่อนหน้านี้ 982 เรื่อง และมีคำสั่งศาลเพิ่มมาอีกวานนี้ (22 ก.ย.63) จำนวน 220 เว็บไซต์ เป็นเว็บพนันทั้งหมด สำหรับเรื่องการจับจะเป็นอำนาจหน้าที่ของทางตำรวจ กระบวนการสอบสวน ดำเนินคดี โดยที่ผ่านมาได้มีการจับกุมเว็บพนันได้ 20 คดี

“ขอความร่วมมือด้วยว่าเมื่อไอเอสพี/โอเปอเรเตอร์รายใดดำเนินการปิด/ปิดกั้นการเข้าถึงเว็บพนันออนไลน์ที่มีคำสั่งศาลออกมาแล้ว ช่วยเชื่อมโยงการอัพเดทเข้าสู่หน้า Landing page และขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แสดง Landing page เป็นอันเดียวกันสำหรับการร่วมกันแก้ไขปัญหาเว็บพนันออนไลน์” นายพุทธิพงษ์กล่าว

พร้อมย้ำด้วยว่า หลังจากแนบคำสั่งศาลแจ้งไปยังไอเอสพี และผู้ให้บริการมือถือแล้ว ได้มีการติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยหากพบว่าไอเอสพี หรือค่ายมือถือรายใดไม่ดำเนินการปิดเว็บผิดกฎหมายเหล่านั้นภายใน 15 วันหลังได้รับคำสั่งศาล อาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 27 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา 18 หรือมาตรา 20 หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา 27 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง

ทั้งนี้ กระทรวงฯได้เปิดช่องทางให้ประชาชนในการแจ้ง หากพบเห็นสื่อโฆษณาหรือโพสต์ชักชวนให้เล่นการพนันออนไลน์ สามารถแคปหน้าจอ พร้อมแจ้ง link หรือยูอาร์แอลเว็บนั้นๆ ส่งมาโดยตรงที่เพจ “อาสา จับตา ออนไลน์” ทาง inbox คลิก m.me/DESMonitor จะมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องตลอด 24 ชม. โดยจะนำข้อมูลเบาะแสส่งให้ตำรวจพิจารณาหาตัวผู้กระทำความผิดต่อไป ในส่วนของ ดีอีเอส เมื่อได้รับการยืนยันความผิดจากตำรวจแล้ว ก็จะดำเนินการปิดเว็บไซต์พนันดังกล่าวต่อไป

Advertising

ไอเดีย “อนุทิน” ให้ “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน”

People Unity News : อนุทิน ให้ “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน”

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน” คือ หมอประจำบ้าน หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว ดูแล ให้ความรู้ สร้างเสริมสุขภาพ ให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข ช่วยลดการเดินทาง ลดความแออัดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมระดมสมองเพื่อบูรณาการงานสาธารณสุขมูลฐานและระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยมี ผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวแทนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขภาคเอกชน ท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และประชาชน เข้าร่วมประชุมจำนวน 100 คน

นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายสำคัญอันดับต้น คือ การพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง โดยการระดมความคิดบูรณาการงานสาธารณสุขมูลฐานและระบบสุขภาพปฐมภูมิตามระบบสุขภาพชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ในครั้งนี้ นับเป็นการสร้างความเข้มแข็งระบบสุขภาพภาคประชาชน ตาม พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ และต่อยอดโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค จึงเกิดเป็นนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจำตัว 3 คน” โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

นายอนุทินกล่าวต่อว่า นโยบาย “คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจำตัว 3 คน” คือ ทุกครอบครัวจะมี 1. หมอประจำบ้าน (อสม.ระดับหมู่บ้าน) ซึ่ง อสม. 1 คนจะรับผิดชอบ 8-15 หลังคาเรือน 2.หมอสาธารณสุข (เจ้าหน้าที่สาธารณสุข/พยาบาลระดับตำบล) โดยบุคลากรสาธารณสุขระบบปฐมภูมิ (รพ.สต., หน่วยงานสาธารณสุข, เทศบาล, กทม.คลินิกอบอุ่น ฯลฯ) 1 คน รับผิดชอบประชาชน 1,250 คน หรือ 1-3 หมู่บ้าน และจะประสานการทำงานร่วมกับ อสม. และ 3.หมอครอบครัว  เป็นแพทย์ที่มีองค์ความรู้หรือจบด้านเวชศาสตร์ครอบครัว รับผิดชอบประชากร 1 คนต่อประชาชน 10,000 คน หรือ 1-3 ตำบล โดยหมอประจำตัวทั้ง 3 จะบูรณาการทำงานร่วมกันในการดูแล ให้ความรู้ ส่งเสริมสุขภาพ ให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและสานต่อแนวทาง “สร้าง นำซ่อม”

ทั้งนี้ การบูรณาการงานสาธารณสุขมูลฐานและระบบสุขภาพปฐมภูมิจะช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลระดับจังหวัด การแก้ปัญหาหรือพัฒนาระบบบริการการรักษา (Care) การสาธารณสุข (Public Health) การจัดการสภาพแวดล้อมและสังคม (Social Determinant of Health : SDH) โดยมีจุดมุ่งหมายให้คนไทยทุกครอบครัว มีคุณภาพชีวิติที่ดี ประชาชนและเจ้าหน้าที่มีความสุขร่วมกัน

Advertising

มท.เผยผลการคัดเลือก “จังหวัดสะอาด” ประจำปี 2562 อุดรธานี เลย ลำพูน คว้าชนะเลิศ

People Unity News : มท. ประกาศผลการคัดเลือก “จังหวัดสะอาด” ประจำปี 2562 ยกย่องจังหวัดต้นแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยที่ประสบความสำเร็จระดับชาติ

11 ส.ค. 63 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากการที่ปัญหาขยะเป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ซึ่ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญและกำหนดให้การบริหารจัดการขยะเป็นภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยประกาศใช้แผนปฏิบัติการ “จังหวัดสะอาด” และได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการขยะ ส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีการปฏิบัติตามหลัก 3ช (3Rs) คือ ใช้น้อย (Reduce) ใช้ซ้ำ (Reuse) และนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) รวมทั้งให้ความสำคัญในการแยกขยะจากต้นทาง

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการจัดประกวดการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” ระดับจังหวัด และในระดับประเทศ เพื่อติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” ประจำปี พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ พร้อมเชิดชูเกียรติให้แก่จังหวัดที่มีการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนที่เป็นเลิศ ซึ่งคณะกรรมการประกวดการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” ได้พิจารณาคัดเลือกการประกวดการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” ระดับประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2562 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีผลการคัดเลือกดังนี้

1) ระดับกลุ่มจังหวัดขนาดใหญ่ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ จังหวัดลพบุรี รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ จังหวัดชัยภูมิ รางวัลชมเชย ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดศรีสะเกษ

2) ระดับกลุ่มจังหวัดขนาดกลาง รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ จังหวัดเลย รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ จังหวัดยโสธร รางวัลชมเชย ได้แก่ จังหวัดพิจิตร และจังหวัดพิษณุโลก

3) ระดับกลุ่มจังหวัดขนาดเล็ก รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ จังหวัดลำพูน รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ จังหวัดอ่างทอง รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ จังหวัดบึงกาฬ รางวัลชมเชย ได้แก่ จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอุทัยธานี ทั้งนี้ สำหรับจังหวัดลำพูน ถือเป็นการคว้ารางวัลชนะเลิศต่อเนื่องกัน เป็นปีที่ 3 แล้ว

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จะจัดพิธีมอบรางวัลจังหวัดที่มีการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” ระดับประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2562 ในวันที่ 14 กันยายน 2563 ณ สโมสรทหารบก (วิภาวดี) เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่จังหวัดที่มีการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนที่เป็นเลิศ และกระตุ้นจังหวัดอื่นๆ ให้ดำเนินการรณรงค์และบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป

Advertising

“ประยุทธ์” หนุนจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมช่วยแก้ปัญหาสังคม

People Unity News : นายกฯเชียร์ จัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมช่วยแก้ปัญหาสังคม มั่นใจดูแลผู้พิการไม่น้อยหน้าเวทีสากล

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายหลังที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดร้านกาแฟคนพิการ APCD 60+Plus Bakery & Chocolate Cafe @ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น นอกจากนายกฯจะเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาอุดหนุนเพื่อเป็นกำลังใจกับผู้พิการแล้ว ยังได้ชื่นชมร้านฯที่เป็นแบบอย่างของการทำธุรกิจเพื่อสังคม ส่งเสริมให้คนพิการได้ใช้ศักยภาพของตนเอง มีงานทำและมีรายได้อย่างยั่งยืน และขอบคุณกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ได้ขับเคลื่อนการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม และการส่งเสริมอาชีพแก่ผู้พิการ ทั้งนี้ นายกฯยังได้กำชับให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯเดินหน้าส่งเสริมให้มีวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise-SE) อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นธุรกิจที่มุ่งส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่นและกลุ่มคนเปราะบาง เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ หรือมีเป้าหมายในการแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ไม่ใช่มุ่งสร้างกำไรสูงสุดต่อผู้ถือหุ้น แต่ต้องนำกำไรไปทำประโยชน์เพื่อสังคม ซึ่งธุรกิจจะได้รับการยกเว้นเรื่องภาษีตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ปัจจุบัน มีจดทะเบียนแล้วประมาณ 130 แห่ง ซึ่งพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เพิ่งประกาศใช้ในปี พ.ศ.2562 มากไปกว่านั้น นายกฯยังเชื่อมั่นว่า วิสาหกิจเพื่อสังคมจะเป็นกลไกสำคัญให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ยิ่งในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด19 มีกลุ่มคนจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบในเรื่องการจ้างงานและรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนเปราะบาง

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า สำหรับภาพรวมงานด้านคนพิการของประเทศไทย เป็นไปตามนโยบาย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และสอดคล้องกับแนวทางของสหประชาชาติ เพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดำรงชีวิตในสังคมชุมชนได้อย่างอิสระเท่าเทียม ซึ่งปี 2563 กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ได้มีการดำเนินการร่วมกับหลายกระทรวง ใน 7 ประเด็นเร่งด่วน คือ 1) การส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาอาชีพคนพิการ 2) การส่งเสริมเข้าถึงสิทธิคนพิการ 3) การส่งเสริมการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ 4) การคุ้มครองสวัสดิภาพคนพิการ 5) การเสริมสร้างความเข้มแข็งและการมีส่วนร่วมขององค์กรด้านคนพิการและเครือข่าย 6) การพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายและแผนด้านคนพิการ และ 7) ระบบการบริหารจัดการด้านคนพิการให้มีผลสัมฤทธิ์สูง

Advertising

รองโฆษกฯเผยผลงาน 1 ปีรัฐบาล ด้านพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ

People Unity News : รองโฆษกฯเผยผลงาน 1 ปีรัฐบาล ด้านพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การดำเนินงานด้านการพัฒนาที่อยู่ของรัฐบาลมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) และวิสัยทัศน์ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเน้นสร้างความมั่นคงในชีวิตแก่ผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ทั้งนี้ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานหลักและตั้งเป้าหมายดูแลผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย การดูแลแบ่งเป็นภายใต้ความรับผิดชอบของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และการเคหะแห่งชาติ (กคช.)

สำหรับในปี 2563 พอช. ได้ให้การช่วยเหลือครอบครัวที่มีฐานะยากจน สภาพบ้านเรือนทรุดโทรม  มีสภาพไม่ปลอดภัย ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย เช่น หลังคารั่ว เสาเรือนผุ บันไดโยกคลอน พื้นบ้าน ฝาบ้าน หลายพันครัวเรือนทั่วประเทศ ผ่านโครงการ ”บ้านพอเพียงชนบท”

ในส่วนของ กคช. ได้ออกโครงการบ้านเช่าผู้มีรายได้น้อยเริ่มเดือนละ 999-2,500 บาท โดยนำบ้านว่าง-ห้องว่างจากโครงการ กคช. ทั่วประเทศ 20,000 ห้อง ผลปรากฏว่ามีผู้แสดงความสนใจ 28,000 ราย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการส่งมอบห้องเช่าที่คาดว่าจะจบได้ภายในปีนี้ มากไปกว่านั้น ยังมีโครงการสร้างบ้านเช่า 100,000 หลัง ในพื้นที่ กทม.และจังหวัดอื่นๆ รวมระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (พ.ศ.2564-2568) สร้างปีละ 20,000 หลัง มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้สูงอายุ คนพิการ ข้าราชการชั้นผู้น้อย หรือข้าราชการเกษียณ และประชาชนที่มีรายได้น้อย

นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ยังมีกรมธนารักษ์ ที่เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องของการสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งในปีนี้จะเปิดให้ข้าราชการพลเรือนสามารถจองซื้อสิทธิ์การเช่าคอนโดมิเนียมข้าราชการที่จะก่อสร้างบนที่ราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ นำร่องในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี และขอนแก่น เป็นการสร้างคอนโดมิเนียม 7 ชั้น ห้องละไม่เกิน 40 ตารางเมตร ผ่อนเดือนละประมาณ 3,900 บาท ระยะเวลา 30 ปี ข้าราชการมีเงินเดือน 16,000 บาท ก็สามารถเป็นเจ้าของได้ เมื่อครบสัญญายังต่ออายุสัญญาได้อีก 30 ปี และสามารถโอนสิทธิ์ได้เมื่ออยู่ครบ 5 ปีแต่จะต้องโอนสิทธิ์ให้เฉพาะข้าราชการด้วยกันเท่านั้น ขณะเดียวกัน ทางกรมฯยังเร่งโครงการก่อสร้างซีเนียร์คอมเพล็กซ์ที่จังหวัดสมุทรปราการเพื่อตอบโจทย์สังคมผู้สูงวัย โดยวางเป้าหมายเปิดให้ผู้สูงวัยอายุ 58 ปีขึ้นไปและเริ่มจองได้ภายในสิ้นปีนี้ เฟสแรกจำนวน 900 ยูนิต พื้นที่ยูนิตละประมาณ 35 ตารางเมตร ซึ่งจะใช้เวลาก่อสร้างราว 2 ปี เข้าอยู่ได้เมื่อผู้จองมีอายุ 60 ปีขึ้นไป

“รัฐบาลมีความตั้งใจขับเคลื่อนการทำงานให้เป็นไปตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ซึ่งการทำงานจะต้องเป็นไปอย่างบูรณาการ ครอบคลุมทั้งเรื่องตัวที่พัก ราคาที่ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึง สภาพแวดล้อม และการรองรับสังคมผู้สูงอายุ สำหรับกระทรวง พม. ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลัก กคช. รับไปดำเนินการ 2 ล้านครัวเรือน และ พอช.ดำเนินการประมาณ 1 ล้านครัวเรือน รวมทั้งจะดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาชาติด้วย“ นางสาวรัชดา กล่าว

Advertising

“จุติ” จับมือ 9 กระทรวงเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก มุ่งสร้างอาชีพใหม่ ชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

People Unity News : รมว.พม. จับมือ 9 กระทรวง เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก มุ่งสร้างอาชีพใหม่ ชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

7 มิ.ย. 2563 เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาและยกระดับการฝึกอาชีพ (อาชีพใหม่ ชีวิตใหม่ หลังโควิด-19) สำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งคนตกงาน คนว่างงาน และนักเรียน นักศึกษาที่เรียนจบ ซึ่งได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจฐานราก” อีกทั้งเป็นประธานในพิธีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัยนเรศวรและกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ณ ห้อง Convention ชั้น 5 โรงแรมท็อปแลนด์ แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดพิษณุโลก

นายจุติ กล่าวว่า จากสภาพปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จำเป็นต้องมีมาตรการสร้างงานและจ้างงานเพื่อรองรับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงในการหางานทำไม่ได้และตกงาน โดยจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมในการปรับทักษะอาชีพ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจ อีกทั้งการสร้างทักษะอาชีพใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายขึ้น และการทำงานที่นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ติดต่อสื่อสารมากขึ้น ทั้งนี้ ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ต้องบูรณาการความร่วมมือกันในการช่วยเหลือประชาชนตามบทบาทภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งกระทรวง พม. เป็นหน่วยงานภาครัฐที่มุ่งให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนผู้ประสบปัญหาทางสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี จึงได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาและยกระดับการฝึกอาชีพ (อาชีพใหม่ ชีวิตใหม่ หลังโควิด-19) เพื่อบูรณาการความร่วมมือด้วยมิติการทำงานใหม่กับหน่วยงานภาครัฐ 9 กระทรวง รวมทั้งภาคเอกชน ประชาสังคม และประชาชน เพื่อสร้างทุนมนุษย์สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากของจังหวัดพิษณุโลกให้มีความเข้มแข็ง นอกจากนี้ ยังมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยนเรศวร กับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวง พม. เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพสตรีและครอบครัวในพื้นที่

นายจุติ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ ตนได้มาขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลที่ให้แต่ละกระทรวงบูรณาการการทำงานร่วมกัน ซึ่งครั้งนี้ได้บูรณาการร่วมกับ 9 กระทรวง เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูอาชีพและเศรษฐกิจของประชาชน ด้วยการแนะนำวิถีชีวิตใหม่และอาชีพใหม่ให้กับประชาชนในเขต 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งหลังจากนี้ เราจะมีการติดตามความคืบหน้าในทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาและยกระดับความเข้มข้นของการทำงาน เพราะปัญหาของประชาชนรอไม่ได้ และต่อจากนี้จะขับเคลื่อนงานต่อในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเราจะแนะนำโครงการต่างๆไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งคนตกงาน จนถึงกลุ่มเยาวชน นักศึกษาที่จบแล้ว แต่ยังไม่มีงานทำ เพื่อให้ได้มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยอาชีพใหม่

Advertising

“อนุทิน” ให้ อสม.สำรวจการใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกครัวเรือนทั่วไทย

People Unity News : รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน สำรวจการใช้สารเคมีทางการเกษตรและการเจ็บป่วยทุกครัวเรือน โดยใช้แอปพลิเคชัน สมาร์ท อสม. เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค และภัยจากการใช้สารเคมี

วันนี้ (6 มกราคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการแพทย์และสาธารณสุข กองสาธารณสุขฉุกเฉิน อาคาร 5 ชั้น 7 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดี และคณะผู้บริหาร ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด  มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรค และภัยจากการใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด (พาราควอต คลอร์ไพริฟอส ไกลโฟเสต) โดยประชาชน/อสม. ผ่าน Mobile Application สู่หน่วยบริการ (คลินิกสารเคมีเกษตร/คลินิกโรคจากการทำงาน)

นายอนุทินกล่าวว่า  กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้ ปี 2563 เป็นปีแห่งอาหารปลอดภัย และสนับสนุนการเกษตรอินทรีย์ ยืนยันสนับสนุนการยุติการใช้สารเคมีอันตรายทางการเกษตร ได้ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1 ล้านคนใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเอไอเอส สำรวจการใช้สารเคมีทางการเกษตร วิธีการทางธรรมชาติอื่นๆที่ปลอดภัย และข้อมูลการเจ็บป่วยที่คาดว่าอาจมาจากสารเคมี โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรวัยแรงงานซึ่งมีความเสี่ยงจากการสัมผัส มีความเป็นพิษต่อร่างกาย ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง เป็นการยกระดับระบบการเฝ้าระวังการเจ็บป่วยจากสารเคมีทางการเกษตรให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำ สามารถระบุพิกัดครัวเรือน เพื่อนำเข้าคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมจังหวัด นำไปวิเคราะห์ปัญหา วางแผน และหาแนวทางแก้ไขเพื่อยุติสารเคมีทางการเกษตรของพื้นที่ โดยเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม ด้านเกษตรกรรม ของกรมควบคุมโรค โดยสำรวจ 2 ครั้งพร้อมกันทั่วประเทศ ในเดือนมกราคม 2563 และครั้งที่ 2 วันที่ 1 – 31 กรกฎาคม 2563

“การสำรวจครั้งนี้ จะทำให้ได้ข้อมูลการใช้สารเคมีทางการเกษตรของทุกครัวเรือน และข้อมูลการเจ็บป่วยที่ครบถ้วน แม่นยำขึ้น เพราะจะมีข้อมูลของกลุ่มที่ไม่ได้ไปรับการรักษาที่สถานพยาบาล นำไปวางแผนเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพจากการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม เพื่อความปลอดภัยของเกษตรกรและประชาชนในอนาคต” นายอนุทินกล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดตัวชี้วัดให้ทุกจังหวัดขับเคลื่อนมาตรการยุติการใช้สารเคมีทางการเกษตร ประกอบด้วย 1.มีการขับเคลื่อนมาตรการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับส่วนกลางและภูมิภาค อย่างน้อยจังหวัดละ 1 เรื่อง ผ่านกลไกของคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมจังหวัด  2.มีระบบรับแจ้งข่าว การใช้/ป่วยจากการสัมผัสสารเคมีทางการเกษตร โดยประชาชน/อสม. ผ่าน Mobile Application และ 3.จังหวัดมีการจัดทำฐานข้อมูลอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม ด้านเกษตรกรรม และรายงานการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต

โฆษณา

“บิ๊กตู่” กำชับดูแลฝุ่นละออง PM 2.5 ประสานความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน

People Unity News : พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับดูแลฝุ่นละออง PM 2.5 ประสานความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่

เมื่อวานนี้ (17 ธ.ค.62) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแก่สื่อมวลชนถึงมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองว่า รัฐบาลดำเนินการทุกอย่างเต็มที่ โดยสั่งการให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหา วัสดุที่เหลือจากการเกษตรเช่น อ้อย ข้าวโพด ฯลฯ ก็ให้นำมาทำผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าเกิดประโยชน์มากขึ้น หรือนำไปเป็นวัสดุเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานในโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กในชุมชน แทนการเผาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ใช้มาตรการและวิธีการใหม่ๆที่เหมาะสมในการดูแลจุดความร้อนหรือฮอตสปอตในพื้นที่ต่างๆ รวมไปถึงการขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีปัญหาเรื่องดังกล่าวเช่นกัน

สำหรับการใช้รถขนส่งสาธารณะ ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า รวมทั้งการก่อสร้างก็มีความก้าวหน้าโดยลำดับ หลายเส้นทางก็ได้มีการเปิดใช้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการใช้รถส่วนตัวลงได้บ้าง เพื่อผลดีต่อการจราจร นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเข้าใจว่า บางกรณีก็มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวในการรับส่งลูกหลานไปโรงเรียน แต่ขอความร่วมมือในส่วนของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ หากไม่มีความจำเป็นมากนัก ก็ให้หันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะบ้าง เพราะที่ผ่านมารัฐบาลพยายามดูแลและส่งเสริมรถบริการสาธารณะให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น พร้อมๆไปกับการเร่งดำเนินการโครงสร้างพื้นฐาน ถนน เส้นทางต่างๆ ทั้งเส้นทางถนนปกติและทางด่วนพิเศษที่ต้องจ่ายเงิน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงบริการและรับความสะดวกอย่างทั่วถึงตามศักยภาพของแต่ละบุคคล

จากนั้น นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่บางพื้นที่ไม่มีน้ำทำนาปลังว่า จะต้องหาวิธีการเพาะปลูกพืชแต่ละชนิดให้เหมาะสมกับพื้นที่และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่ออุปโภคบริโภคของประชาชน โดยขอความร่วมมือประชาชนทุกคนใช้น้ำอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะต้องลดปริมาณการใช้น้ำสำหรับการทำการเกษตรลงให้ได้มากที่สุด เพราะมีบางประเทศมีการใช้น้ำทำการเกษตรน้อยกว่าประเทศไทย ซึ่งได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาวิธีการและแนวทางดังกล่าวเพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เตรียมบริหารจัดการการให้ใช้น้ำบาดาลมากขึ้น เพื่อเตรียมรองรับแก้ไขปัญหากรณีน้ำอุปโภคบริโภคขาดแคลนน้ำที่และบรรเทาความเดือนร้อนให้กับประชาชน

ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงมาตรดูแลความปลอดภัยประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมและออกมาตรการและสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งการกวดขันบังคับใช้กฎหมาย การอำนวยความสะดวก การจารจร อาชญากรรม ฯลฯ ส่วนการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ขณะนี้ได้มีการเพิ่มมาตรการเชิงรุกมากขึ้น โดยดำเนินการเป็นไปตามกติกาสากล ในการปฏิบัติหน้าที่ก็ขอให้เจ้าหน้าที่รัฐระมัดระวังดูแลตนเองให้ดี รวมถึงการดูแลประชาชนให้ได้รับปลอดภัย พร้อมขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย

โฆษณา

Verified by ExactMetrics