วันที่ 24 พฤศจิกายน 2024

“อนุทิน”เปิดคลีนิคกัญชารพ.สุรินทร์ ให้ชาวบ้านร่วมปลูกได้แล้ว

People Unity News : “อนุทิน”เปิดคลีนิคกัญชารพ.สุรินทร์ เผยประชาชนปลูกได้ แต่ต้องร่วมมือกับโรงพยาบาล และใช้เพื่อการแพทย์ เล็งใช้ “หมอออนไลน์” ทำงานร่วม “อสม.” ดูแลสุขภาพประชาชนทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ที่ ร.พ.สุรินทร์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ฝ่ายปกครอง คณะผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข และ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ได้ทำพิธีเปิดคลีนิคกัญชาทางการแพทย์ หลังเสร็จพิธี นายอนุทิน กล่าวว่า
เรื่องกัญชาทางการแพทย์ ได้คลายกฎระเบียบไปมากแล้ว ประชาชนสามารถปลูกกัญชาได้ แต่ต้องไปรวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชน และปลูกร่วมกับโรงพยาบาล ให้โรงพยาบาลสกัดสารในกัญชามาใช้ประโยชน์

“พันธุ์ที่ปลูกจะต้องได้รับจากภาครัฐ เพราะเป็นพันธุ์ที่ปลูกง่าย ให้สารสำคัญครบ การปลูก และใช้ เป็นไปเพื่อการรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะใช้รักษาอาการซึมเศร้า เบื่ออาหาร และผู้ป่วยมะเร็งระยะประคับประคอง ให้กินอิ่ม นอนหลับ แต่ห้ามนำมาใช้เพื่อความบันเทิง เพราะกฎหมายยังไม่อนุญาต สำหรับแพทย์แผนไทย เราเปิดช่องให้ใช้กัญชาเพื่อการรักษาโรคได้ แต่หมอพื้นบ้านต้องมาลงทะเบียนกับทางกระทรวง ขณะที่ยาสูตรกัญชาก็ต้องลงทะเบียนเช่นกัน” นายอนุทิน กล่าว

เล็งใช้ “หมอออนไลน์” ทำงานร่วม “อสม.” ดูแลสุขภาพ
นายอนุทิน ยังกล่าวเรื่องการยกระดับ อสม.ระบุว่า ได้มอบหมายให้นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข หรือ สบส.ดูแลเรื่องการพัฒนาศักยภาพของ อสม.โดยแลกกับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นตัวเงิน หรือสวัสดิการ ที่ต้องหารือกันต่อไป

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับ อสม.เพราะแพทย์ พยาบาล มีจำกัด จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจาก อสม. โดยหวังเห็น อสม.มีความสามารถดูแลผู้ป่วยชั้นปฐมภูมิได้ ไม่ใช่แค่นำออกกำลังกาย แต่ท่านต้องมีความเข้าใจในเรื่องการดูแลสุขภาพประชาชนขั้นพื้นฐาน ซึ่งด้วยศักยภาพ สามารถทำได้ดีแน่นอน
ขอยกตัวอย่างเมื่อครั้งไปตรวจเยี่ยมกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ไปดูการสาธิตวิธีตรวจสอบสารตกค้างในพืชผักผลไม้ และผู้ที่มาสาธิตไม่ใช่หมอ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ แต่เป็น อสม.ซึ่งทำอย่างชำนาญ พร้อมอธิบายข้อมูลทั้งหมดอย่างครบถ้วน นี่คือคุณค่าของ อสม. ที่ต้องนำมาใช้ประโยชน์ ที่อยากเห็นคือ ในเมื่อเรามีเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และมี อสม.กระจายอยู่ทั่วประเทศ หากประชาชนมีอาการเจ็บป่วย ยังไม่ต้องไปหาหมอในตัวเมือง แต่ให้ อสม.คัดกรองก่อน อสม.ต้องสื่อสารกับแพทย์ ให้แพทย์ดูอาการเบื้องต้นให้ หมอ ต้องเป็น “หมอออนไลน์” ดูว่าผู้ป่วยมีแนวทางอย่างไร ต้องไป รพ.สต. ใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลศูนย์ เพื่อลดภาระในการเดินทางของผู้ป่วย และลดความแออัดในโรงพยาบาลศูนย์

“ผมมั่นใจว่าปีหน้าเรื่องการยกระดับ อสม. เราจะเห็นความเป็นรูปธรรมแน่นอน พี่น้อง อสม.ต้องพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง อย่าท้อถอย ผมเป็นกำลังใจให้”

สสส. ยก”ตำบลชมภูโมเดล” ต้นแบบพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ด้วย”สุนทรียสนทนา”

People Unity News : สสส. ยก”ตำบลชมภูโมเดล” ต้นแบบพื้นที่บูรณาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สร้างงาน-รายได้ ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยชุมชน ผลิตนักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการในชุมชน ขยายผลสู่ 5 จังหวัดภาคเหนือ พร้อมเดินหน้านำร่อง “ธนาคารเวลา”  

วันที่ 15 พ.ย. 2562 ที่ศูนย์บริการคนพิการตำบลชมภู ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ นายพิทยา จินาวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารแผน คณะที่ 2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการกำกับทิศทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ คณะกรรมการกำกับทิศทางการขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ และคณะกรรมการกำกับทิศทางการจัดสภาพแวดล้อมและพัฒนาบริการสาธารณะตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ศึกษาเรียนรู้สุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ “การสร้างเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุ คนพิการ และการปรับสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน” ภายใต้โครงการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการแบบมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น ชุมชน และคนพิการ โครงการพัฒนากลไกสร้างเสริมสุขภาวะสำหรับคนพิการที่มีงานทำและมีอาชีพ  โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ: บูรณาการและยกระดับกลไกขับเคลื่อนการเข้าถึงโอกาสงานและอาชีพของคนพิการให้ดำเนินการได้อย่างยั่งยืน และ  โครงการประเมินความเป็นไปได้และถอดบทเรียนการดำเนินงานธนาคารเวลาในระดับชุมชน

ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากข้อมูลการประมาณการผู้พิการในภาพรวมทั้งประเทศปี 2562 พบว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้พิการประมาณ 2 ล้านคน หรือร้อยละ 3.01 โดย 3 อันดับแรกเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย รองลงมาคือคนพิการทางการได้ยิน และคนพิการทางการมองเห็น ซึ่งสสส.โดยแผนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะทำงานครอบคลุม 4 มิติ คือ ด้านการส่งเสริมสุขภาพ, ด้านเศรษฐกิจ, ด้านสังคมและการเรียนรู้ และด้านสภาพแวดล้อม เพื่อให้คนพิการทุกคนมีศักยภาพและสามารถทำงานหรืออยู่ร่วมกันกับคนปกติได้อย่างเท่าเทียมและเสมอภาคกัน

ทพ.ศิริเกียรติ กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตำบลชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ สสส.ได้ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน ผ่านการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการต่างๆของสสส. อาทิ  “โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ: บูรณาการและยกระดับกลไกขับเคลื่อนการเข้าถึงโอกาสงานและอาชีพของคนพิการให้ดำเนินการได้อย่างยั่งยืน” เพื่อส่งเสริมและยกระดับให้คนพิการที่ได้รับการจ้างงานและการประกอบอาชีพ มีศักยภาพ มีสุขภาวะ สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระและพึ่งพาตนเองได้ โดยระหว่างปี 2561-2562 มีการจ้างงานและสนับสนุนอาชีพคนพิการต่อเนื่อง กว่า 4,000 อัตรา นอกจากนี้มีการพัฒนาศักยภาพคนพิการ รวมถึงผลิตนักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการในชุมชน (นสส) ภายใต้โครงการพัฒนากลไกสร้างเสริมสุขภาวะสำหรับคนพิการที่มีงานทำและมีอาชีพ และเน้นกระบวนการทำงานสร้างเสริมการมีส่วนร่วมในชุมชนผ่านโครงการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการแบบมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น ชุมชน และคนพิการ เพื่อให้การทำงานด้านการฟื้นฟู และพัฒนาศักยภาพของคนพิการ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนเป็นต้นแบบ ขยายผลไปสู่พื้นที่ ในภาคเหนือ 5  จังหวัด ได้แก่เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย และแม่ฮ่องสอน จำนวน  17  พื้นที่

นายอนันต์ แสงบุญ ผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ตำบลชมภู จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ตำบลชมภูมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 9,676 ไร่มีประชากรทั้งหมด 7,215 คน เป็นคนพิการ 291 คนหรือร้อยละ 4 คนพิการส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุจำนวน 164 คน (ร้อยละ 56.4) รองลงมาอยู่ในวัยแรงงาน วัยรุ่น และวัยเด็กคิดเป็น ร้อยละ 38.8 ,2.7 และ2.1 ตามลำดับส่วนใหญ่เป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวคิดเป็นร้อยละ 71.1 ในการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตำบลชมภูนั้น เดิมติดรูปแบบสังคมสงเคราะห์ คือตั้งรับงบประมาณและสิ่งของบริจาค ขาดการเสริมสร้างศักยภาพคนพิการที่ครบองค์รวมกาย จิต ปัญญา สังคม(สุขภาวะ) ขาดการรวมกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ ขาดข้อมูลเกี่ยวกับคนพิการและบริบทต่างๆรอบด้าน ในเรื่องสิทธิการจ้างงาน

ภายหลังได้มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดทำความเข้าใจเรื่องคนพิการโดยผ่านการทำกิจกรรมที่เรียกว่า “สุนทรียสนทนา” และการจำลองความพิการ ทำให้เครือข่ายได้ปรับมุมมองที่มีต่อคนพิการและปรับรูปแบบการทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เปลี่ยนจากการมองคนพิการเป็นเพียงผู้รับ กลายเป็นการสนับสนุนให้คนพิการมีความเข้มแข็งและมีความมั่นใจในตนเองจนสามารถลุกขึ้นมาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆในชุมชน สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับคนพิการ จนสามารถรวมกลุ่มกันตั้งเป็นศูนย์บริการคนพิการ ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่และกำลังเข้าสู่การจดทะเบียนเป็นศูนย์บริการคนพิการทั่วไปของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)

นอกจากนี้ ศูนย์บริการคนพิการยังได้ดำเนินการด้านอีกอื่นๆได้แก่ ธนาคารเวลา เป็นหน่วยจัดการร่วม สสส.ระดับพื้นที่(Node)เพื่อขยายงาน CBR ในพื้นที่อื่นๆต่อไป และร่วมกับโครงการอื่นๆของสสส.ในการพัฒนานักสร้างเสริมสุขภาวะคนพิการ(นสส.)และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการดำเนินงานปรับสภาพบ้านคนพิการและผู้สูงอายุอีกด้วย

นางมัลลิกา ตะติยาพรพันธ์ ผู้อำนวยการ รพ.สต. ต.บ้านพญาชมพู กล่าวว่า ตำบลชมภูมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการโดยใช้กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยชุมชน CBID (Community-based Inclusive Development) พัฒนาด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา การเลี้ยงชีพ  ด้านสังคมและการเสริมพลังไปพร้อมๆกันในคนพิการและครอบครัวคนพิการ มีการพัฒนาองค์ความรู้ที่เหมาะสมโดยเฉพาะความรอบรู้ที่เป็นปัจจัยกำหนดความเข้าใจด้านสุขภาพ โดยมีเครือข่ายของนักสร้างเสริมสุขภาวะในชุมชน(นสส.) เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับคนในชุมชน มุ่งเน้นเป้าหมาย “ป้องกันความพิการ” ใช้วิธีมองปัญหาแบบรอบด้านและส่งเสริมป้องกันความพิการในผู้ที่มีความเสี่ยง ทั้งกลุ่มแม่และเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ป่วยความดัน

องค์เจ้าแม่ทับทิมบินถึงไทยแล้ว เชิญชาวไทย-จีนสักการะวันนี้ถึง 19 พ.ย.นี้

People Unity News : องค์เจ้าแม่ทับทิม (เจ้าแม่หม่าโจ้ว) บินถึงไทยแล้ว รัฐบาลไทย โดยกระทรวงท่องเที่ยวฯ – สมาคมจีนต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ เชิญชาวไทย-จีนสักการะวันนี้ถึง 19 พ.ย.นี้

องค์เจ้าแม่ทับทิม (เจ้าแม่หม่าโจ้ว) จากวัดเหมยโจ หม่าโจ้ว เกาะเหมยโจ สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะกว่า 250 คน ได้เดินทางประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 พ.ย.2562​ ​ที่ผ่านมา โดยมีการจัดพิธีการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีนายอารัญ บุญชัย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะผู้แทนของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ นาวาโทสุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายหยวน จวินผู้อำนวยการคณะกรรมาธิการสภาประชาชน ประจำเมืองผู่เถียน มณฑลฝูเจียน สาธารณรัฐประชาชนจีน นายมนตรี มังกรกนก นายกสมาคมตระกูลลื้มแห่งประเทศไทย นายใช่ซั่งซินประธานกรรมการบริหาร สมาคมฉวนโจว จิ้นเจียง ประเทศไทย พร้อมสมาชิกของสมาคมจีนกว่า 100 คน ให้การต้อนรับ

นายอารัญ บุญชัย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในนามของกระทรวงการท่องเที่ยวฯและในนามของรัฐบาลไทยขอต้อนรับคณะองค์หม่าจู่ที่มาประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อหล่อหลอมความสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย-จีนที่มีมาอย่างยาวนานแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเป็นการสนองนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมภายใต้มาตรการ “ทัวร์ตระกูลแซ่” โดยเริ่มต้นจากตระกูลแซ่ลิ้ม และในอนาคตจะขยายไปสู่ตระกูลอื่นๆ

“ระหว่างที่เจ้าแม่ทับทิมอยู่ในประเทศไทยจนถึงวันที่ 19 พ.ย.2562 จะมีพิธีกรรมสวดพระคัมภีร์มงคลให้พรจากเจ้าแม่ทับทิมและพิธีสักการะใหญ่จากจีนโบราณ มีการอันเชิญเจ้าแม่ทับทิมไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น สมาคมฉวนโจว-จิ้นเจียง ประเทศไทย ถนนกัลปพฤกษ์-สำเพ็ง 2 ,สมาคมตระกูลแซ่ลิ้มแห่งประเทศไทย และเชิญองค์เจ้าแม่ทับทิมแห่รอบเยาวราช วันที่ 17 พ.ย.เวลา 13.00-15.00 น.มีรัฐมนตรีว่ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และผู้ใหญ่ในรัฐบาลมาร่วมพิธีที่ยิ่งใหญ่”

นายอารัญ กล่าวว่า รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ขอเชิญชวนผู้เลื่อมใสศรัทธาองค์เจ้าแม่ทับทิมได้ร่วมกันต้อนรับทัวร์ตระกูลแซ่ลิ้มด้วยการเป็นเจ้าบ้านที่ดีเพื่อส่งเสริมนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ที่สำคัญตลาดนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นตลาดหลักของประเทศไทย การส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มนี้เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่น่าจะทำให้การกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีนในช่วงปลายปีของรัฐบาลนำไปสู่เป้าหมายที่ได้กำหนดไว้

นายหยวนจวิน ผู้อำนวยการคณะกรรมาธิการสภาประชาชน ประจำเมืองผู่เถียน มณฑลฝูเจียน สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า กรุงเทพมหานครเปรียบเสมือนเมืองเวนิสตะวันออกมีความเป็นเอกลักษณ์ทางพุทธศาสนา ในขณะเดียวกันก็ยังมีศาลเจ้าหม่าโจ้วที่ผู้คนมีความศรัทธาเข้ากราบไหว้กว่าร้อยศาลเจ้า วัฒนธรรมหม่าโจ้วก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยและจีน ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นขึ้น

“ผู่เถียนบ้านเกิดของเจ้าแม่ทับทิมก็เหมือนกรุงเทพมหานคร มีประวัติอันยาวนาน วัฒนธรรมอันงดงาม มีความเชื่อและความศรัทธาต่อองค์เจ้าแม่ทับทิมกระจายไปทั่วพื้นที่ของผู่เถียน ซึ่งผู่เถียนเป็นเมืองที่ตั้งของสมาคมฟอรั่มวัฒนธรรมหม่าโจ้วโลกถาวร และเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ส่งสารถึงประธานผู้ดำรงตำแหน่งวาระที่ 4 ในสมาคมฟอรั่มวัฒนธรรมหม่าโจ้วโลกกล่าวถึงกิจกรรมการอันเชิญเจ้าแม่ทับทิมจากเกาะเหมยโจวมาเยือนประเทศไทย จะสามารถเผยแพร่วัฒนธรรมหม่าโจ้วในเมืองไทยไปอีกขั้นหนึ่ง

นายหยวนจวิน กล่าวว่า ที่สำคัญ เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีประชาชนชาวไทยมีความเอื้ออารี ความศรัทธาต่อองค์เจ้าแม่ทับทิม และสนับสนุนกิจกรรม “เจ้าแม่ทับทิมท่องเอเซียตะวันออกเฉียงใต้โดยทางทะเล” หวังว่าประชาชนชาวไทยและจีน ทั้งสองประเทศจับมือร่วมมือร่วมกันสร้างเสริมจิตวิญญาณด้วยวัฒนธรรมหม่าโจ้ว ผลักดันเศรษฐกิจ การค้า วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และความร่วมมือด้านอื่นๆ สร้างวิสัยทัศน์ที่สวยงามของนโยบาย “วันเบล วันโรด” มีส่วนร่วมมากขึ้นในการส่งเสริมการรวมวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีน ประชาชนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เกิดความสงบสุขและมีการพัฒนาไปในทางที่ดีและร่วมสร้างอนาคตที่ดีต่อไป

ขณะที่ นายใช่ซั่งซิน ประธานกรรมการบริหารสมาคมฉวนโจว จิ้นเจียง ประเทศไทย กล่าวว่าการอัญเชิญเจ้าแม่ทับทิมมาประเทศไทยครั้งนี้ ถือเป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีน และช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้อย่างแน่นอน เพราะองค์เจ้าแม่ทับทิมเป็นที่เคารพและศรัทธาของคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีนมาก โดยเจ้าแม่ทับทิมองค์นี้เป็นองค์แรก 1,000 ปี เสด็จแผ่เมตตาในประเทศไทย จึงขอเชิญชวนให้ชาวไทยและชาวจีนมาสักการะองค์เจ้าแม่ทับทิมเพื่อความเป็นสิริมงคล

“พุทธิพงษ์”ดันภาคเอกชนเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีภูมิภาคอาเซียน

People Unity News : “พุทธิพงษ์” เดินหน้าเสริมอาวุธให้ภาคเอกชน พัฒนาประเทศเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของภูมิภาคอาเซียน

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส ร่วมงานวันนักการตลาด แห่งประเทศไทย ประจำปี 2562 พร้อมกล่าวบรรยายในหัวข้อ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขับเคลื่อนไทยในยุคทศวรรษ2020 ว่า เมื่อ 5 – 10 ปีที่ผ่านมา ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าโลกขับเคลื่อนด้วยนักการตลาด นักโฆษณา ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าในเวลาผ่านไปไม่นาน โลกจะเปลี่ยนไปอย่างพลิกฝ่ามือ และประเทศไทยจะไปต่ออย่างไรในโลกยุคปัจจุบัน รัฐบาลประกาศว่าจะขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ไทยแลนด์ 4.0

“หลายคนสงสัยว่าแล้วปัจจุบันประเทศไทยอยู่ที่จุดไหน  ความจริงแล้วคนไทยไม่ได้ล้าสมัย ซึ่งอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย (Global Competitive Index) จากการประเมินของ World Economy Forum ตกจากอันดับ 38 เป็น 40 ซึ่งหัวข้อที่ดึงให้คะแนนต่ำลง คือโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งในความจริงแล้ว หากเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ประเทศไทยมีความพร้อมมาก โดยได้มีการวางสาย fiber optic เชื่อมต่อประเทศแล้ว 6 ประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และภายในปีหน้า จะต่อเชื่อมไปถึงประเทศจีน เพราะฉะนั้น หากเป็นด้านดิจิทัล ประเทศไทยไม่ได้เป็นรองใคร” นายพุทธิพงษ์ กล่าวและว่า

จากนี้ นักการตลาดต้องเข้ามาช่วย เพื่อพัฒนาประเทศให้ลูกหลานเราสามารถพูดได้เต็มปากว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาของภูมิภาคอาเซียน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมพยายามผลักดันอย่างเต็มที่ในช่วง 3 เดือนที่รับตำแหน่ง หมดเวลาแล้วที่รัฐจะคิดเองทำเอง รัฐต้องเป็นผู้สนับสนุนแล้วดึงคนเก่งเข้ามาทำ ซึ่งผมได้เสนอท่านนายกว่าเราต้องคิดจากฐานรากและต้องให้ภาคเอกชนช่วยคิด เพราะเอกชนรู้ความต้องการ ปัญหา ข้อจำกัด รัฐจึงต้องมีหน้าที่เสริมอาวุธให้เอกชนสู้กับต่างประเทศ เพราะวันนนี้เราสู้กับนักลงทุนและโลก

“ประภัตร”ยันเร่งหาแนวช่วย เกษตรกรอีสาน ข้าวหอมมะลิเป็นโรคไหม้คอรวง

People Unity News : “ประภัตร”ยันเร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรภาคอีสานที่ผลผลิตข้าวหอมมะลิเสียหายจากโรคไหม้คอรวง เตรียมประสานกระทรวงพาณิชย์จัดทำมาตรการชะลอการขายข้าวของชาวนา เกรงพ่อค้าโก่งราคาเช่นเดียวกับข้าวเหนียว ชี้แม้ผลผลิตน้อย แต่ยังเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจการแพร่ระบาดของโรคไหม้คอรวงข้าวซึ่งพบความเสียหายใน 5 จังหวัดได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และอุบลราชธานีรวมพื้นที่ 550,000 ไร่ ซึ่งจังหวัดสุรินทร์มีการระบาดมากที่สุดกว่า 300,000 ไร่ ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเป็นเขตภัยพิบัติโรคพืชแล้ว เบื้องต้นเกษตรกรจะได้รับค่าชดเชยตามระเบียบกระทรวงการคลัง 1,113 บาทต่อไร่ รายละไม่เกิน 20 ไร่

นายประภัตรกล่าวต่อว่า ล่าสุดอัตราการระบาดลดลงเนื่องจากชาวนาเกี่ยวข้าวหอมมะลิพันธุ์ กข15 ซึ่งเกิดโรคไปกว่าร้อยละ 80 แล้ว อีกทั้งได้รับการสนับสนุนโดรน 3 ลำจากภาคเอกชนมาใช้ฉีดพ่นสารไตรโคเดอร์มาแปลงข้าวหอมพันธุ์ดอกมะลิ 105 ซึ่งจะเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายนเป็นต้นไปเพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อราก่อโรคไหม้คอรวง รวมทั้งมอบหมายให้กรมการข้าวจัดส่งไตรโคเดอร์มาให้เกษตรกรทั้ง 5 จังหวัดฉีดพ่นในแปลงข้าวซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับแปลงที่เป็นโรค

ทั้งนี้แปลงข้าวหอมมะลิ พันธุ์ กข 15 ที่เกิดโรคไหม้คอรวงแล้วส่งผลให้เมล็ดลีบนั้น ผลผลิตลดลงจาก 400 กิโลกรัมต่อไร่เหลือประมาณ 100 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อรวมกับความเสียหายจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยที่ผ่านมาคาดว่า ประมาณ 700,000 ไร่จากพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิทั้งประเทศ 3 ล้านกว่าไร่ ผลผลิตลดลง 3 ล้านตัน โดยประมาณการณ์ว่า ปี 2562 นี้จะได้ผลผลิตข้าวหอมมะลิ 6-7 ล้านตัน โดยลดลงกว่าปีที่แล้วซึ่งได้ 8 ล้านตัน ขณะนี้มอบหมายกรมการข้าวร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรสำรวจความเสียหายทั้งหมดเพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่รายได้ลดลงจากการที่ผลผลิตเสียหายซึ่งจะได้นำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป

นายประภัตรยืนยันว่า ปริมาณข้าวหอมมะลิเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ แต่ผลผลิตที่ลดลงอาจส่งผลกระทบด้านราคาบ้าง จึงจะประสานกับกระทรวงพาณิชย์จัดทำโครงการชะลอการขายข้าวของชาวนา ในลักษณะเดียวกับโครงการจำนำยุ้งฉางเพื่อไม่ให้ข้าวหอมมะลิออกสู่ตลาดพร้อมกัน พ่อค้าอาจฉวยโอกาสจำหน่ายข้าวหอมมะลิแก่ผู้บริโภคในราคาสูงเช่นเดียวกับข้าวเหนียวที่ผลผลิตลดลงจากภัยแล้งในปีนี้ ยันยันว่า จะดูแลทั้งเกษตรกรให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและไม่ให้ผู้บริโภคต้องเดือดร้อนจากราคาข้าวที่สูงขึ้น

นายสุดสาคร ภัทรกุลนิษฐ์ อธิบดีกรมการข้าวกล่าวว่า รมช. ประภัตรกำชับให้เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ไปให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิในฤดูกาลเพาะปลูกใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคไหม้คอรวงข้าว โดยการนำเมล็ดพันธุ์มาคลุกสารไตรโคเดอร์มาก่อนหว่าน ใช้เมล็ดพันธุ์ไม่เกิน 10 -15 กิโลกรัมต่อไร่ อีกทั้งต้องไม่ใส่ปุ๋ยยูเรียและปุ๋ยสูตรที่มีธาตุไนโตรเจนสูงมากจนเกินไปเนื่องจากจะทำให้กอข้าวแน่นเกิน อากาศไม่ถ่ายเทและความชื้นสูง เมื่อมีสปอร์เชื้อราโรคไหม้มาติดต้นข้าวจะทำให้ระบาดอย่างรวดเร็ว

ลานพระธรรม!วัดโคราชเห็นใจชาวนาเปิดให้ตากข้าวฟรี

People Unity News : ลานพระธรรม!วัดโคราชเห็นใจชาวนาเปิดให้ตากข้าวฟรี เจ้าอาวาสเผยทางวัดรู้สึกสงสารและเห็นใจชาวนาที่ไม่มีสถานที่ตาก ตั้งกติกาตากได้ไม่เกินคนละ 2 วัน

วันที่ 15 พ.ย.2562 จากความทุกข์ของชาวนาเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วไม่มีที่ตากให้แห้งบางพื้นที่ต้องตากบนถนนเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกันจากการหักหลบกองข้าวเปลือกทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย ที่อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมานั้น ชาวนาบ้านท่าหลวง ตำบลท่าหลวง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ได้นำข้าวเปลือกมาตากพึ่งแดดไว้ภายในลานวัดบ้านท่าหลวงเป็นจำนวนมาก หลังจากหน่วยงานภาครัฐได้ขอความร่วมมือชาวนาไม่ให้ตากข้าวเปลือกบนถนน หวั่นเกิดอุบัติเหตุและกีดขวางการจราจร

พระสมุหะบุญมี ฐาระจิตโต เจ้าอาวาสวัดบ้านท่าหลวง กล่าวว่า ทางวัดรู้สึกสงสารและเห็นใจชาวนาที่ไม่มีสถานที่ตากข้าวเปลือกหลังจากเก็บเกี่ยวมาแล้ว จึงเปิดพื้นที่ลานวัดให้ชาวนานำข้าวเปลือกมาตาก เพราะไม่อยากให้ชาวนาไปตากข้าวบนถนน ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้

ด้านนายเจริญ โจ้พิมาย ชาวบ้าน บ้านท่าหลวง บอกว่า ดีใจที่ทางวัดอนุญาตให้นำข้าวมาตากบริเวณลานวัด เพราะชาวนาส่วนใหญ่ไม่มีที่ตากข้าว แต่กติกาการตากข้าวที่ลานวัดแห่งนี้ ต้องสลับสับเปลี่ยนกันไป หากชาวนาคนไหนเกี่ยวข้าวก่อน ก็จะนำข้าวมาตากก่อน ตากได้ไม่เกินคนละ 2 วัน จากนั้นก็เป็นคิวของชาวนาคนต่อไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งแย่งที่ตากข้าวกันอีก ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนถนน และช่วยไม่ให้เกิดปัญหาการนำวัสดุมาวางกีดขวางการจราจรบนพื้นผิวถนนได้ด้วย

Cr.ภาพตากข้าวถนนจาก https://www.posttoday.com/social/local/606260

“อนุทิน”เซ็นตั้งแล้ว! คณะทำงานกัญชาเสรีฯ”หมอธีระวัฒน์”นั่งประธาน “ดร.ภก.อนันต์ชัย”ประธานร่วม

People Unity News : รมว.สาธารณสุข ลงนามแต่งตั้งคณะทำงานกํากับและติดตามนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์สาธารณสุข “นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา” เป็นประธาน

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 1250/2562 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 แต่งตั้งคณะทํางานกํากับและติดตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้านกัญชาเสรีทางการแพทย์ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์สาธารณสุข ทั้งหมด 17 คน มี ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน

ส่วนคณะทำงานประกอบด้วย นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต, ผศ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นต้น และมีนายธีรพงศ์ ตุนาค ผู้อำนวยการกองบริหารการสาธารณสุข สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นคณะทํางานและเลขานุการ

นอกจากนี้ยังมีนายทองเจือ ชาติกิจเจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นที่ปรึกษาของคณะทำงาน

คณะทำงานชุดนี้มีหน้าที่และอำนาจในการประสาน กํากับและติดตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้านที่ 4 การผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยให้ประชาชนเข้าถึงการใช้กัญชา และสมุนไพรทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัย และส่งเสริมนวัตกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ และหน้าที่อื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

คําสั่งกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวความว่า

ที่ 1250/2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะทํางานกํากับและติดตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้านกัญชาเสรีทางการแพทย์ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์สาธารณสุข

ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายในการประชุมผู้บริหารระดับสูง กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2562 ณ ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สํานักงานปลัดกระทรวง สาธารณสุข ให้บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขร่วมแรงร่วมใจกันทํางานที่สําคัญ 5 ด้าน ซึ่งนโยบายในด้านที่ 4 การผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยให้ประชาชนเข้าถึงการใช้กัญชา และสมุนไพรทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัย และส่งเสริมนวัตกรรมศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ นั้น

เพื่อให้การดําเนินงานตามนโยบายดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ มีขั้นตอน การดําเนินงานและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน รวมทั้งมีการกํากับ ติดตาม และประเมินผล พร้อมทั้งรายงาน ผลการปฏิบัติงานดังกล่าว อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงแต่งตั้งคณะทํางานกํากับและติดตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขด้านกัญชาเสรีทางการแพทย์ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์สาธารณสุข โดยมี องค์ประกอบ หน้าที่และอํานาจ ดังนี้

1.องค์ประกอบ

1.1 นายทองเจือ ชาติกิจเจริญ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ปรึกษา

1.2 นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ปรึกษา

1.3 ศาสตราจารย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธาน

1.4 นายอนันต์ชัย อัศวเมฆิน คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานร่วม

1.5 นายนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะทํางาน

1.6 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต คณะทํางาน

1.7 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะทํางาน

1.8 นายกวี ไชยศรี คณะทํางาน
1.9 นายธเนศ ดุสิตสุนทรกุล รองผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะทํางาน
1.10 ผู้แทนกรมควบคุมโรค คณะทํางาน
1.11 ผู้แทนกรมการแพทย์ คณะทํางาน
1.12 ผู้แทนกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะทํางาน
1.13 ผู้แทนกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก คณะทํางาน
1.14 นายธีรพงศ์ ตุนาค ผู้อ่านวยการกองบริหารการสาธารณสุข
สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะทํางานและเลขานุการ
1.15 นางเกวลิน ชื่นเจริญสุข รองผู้อํานวยการกองบริหารการสาธารณสุข สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะทํางานและผู้ช่วยเลขานุการ
1.16 นางสาวจงกลนี จริยานุวัฒน์ ผู้ช่วยผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข คณะท้างานและผู้ช่วยเลขานุการ
1.17 นางยุภา คงกลิ่นสุคนธ์ นักวิชาการสาธารณสุขชํานาญการพิเศษ กองบริหารการสาธารณสุข สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะทํางานและผู้ช่วยเลขานุการ

2.หน้าที่และอํานาจ

2.1 ให้ประสาน กํากับและติดตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้านที่ 4 การผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยให้ประชาชนเข้าถึงการใช้กัญชา และสมุนไพรทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัย และส่งเสริมนวัตกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์
2.2 หน้าที่อื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

จีนสนใจนำหลักพุทธพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน

People Unity News : จีนสนใจนำหลักพุทธพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนที่นับถือพร้อมศาสนาเต๋ามากกว่า 200 ล้าน

วันที่ 14 พ.ย.2562 เฟซบุ๊ก At HeaR ได้รายงานว่า นายควัน เจ๋อ จู รองประธานคณะกรรมการแห่งชนชาติและศาสนาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะเข้าเยี่ยมชมการดำเนินงาน และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้านพระพุทธศาสนากับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) โดยมี นายณรงค์ ทรงอารมณ์ รองผอ.พศ. รักษาราชการแทนผอ.พศ. พร้อมด้วยผู้บริหารพศ.ให้การต้อนรับที่ห้องประชุมชั้น 3 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติหลังที่ 2 อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยนายควัน เจ๋อ จู กล่าวว่า รัฐบาลจียมุ่งเน้นที่ต้องการจะทำให้ประชาชนมีความสุข มีคุณธรรม ตามนโยบาย one belt one road โดยประชาชนชาวจีนมีผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาเต๋า หรือลัทธิเต๋า มากกว่า 200 ล้านคน ดังนั้นจึงต้องการหารือถึงแนวทางความร่วมมือทางพระพุทธศาสนากับไทย เพื่อนำหลักพระพุทธศาสนามาเป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน

ด้านนายณรงค์ กล่าวว่า ทางพศ.พร้อมที่จะให้ข้อมูล และร่วมมือ ในการนำหลักพระพุทธศาสนามาสร้างความสุขให้กับประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางคณะสงฆ์ไทย โดยมหาเถรสมาคม(มส.) ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.), โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 เป็นต้น ซึ่งการดำเนินงานจะเน้นไปที่การสนับสนุน ส่งเสริม ให้ประชาชนประกอบสัมมาชีพ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

“พิพัฒน์​”​เปิดสเปเชียลโอลิมปิกยูนิฟายด์แบดมินตันชิงแชมป์เอเชียแปซิฟิคครั้งที่ 1

People Unity News : รมว.ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ เป็น​ประธาน​เปิดสเปเชียลโอลิมปิกยูนิฟายด์แบดมินตันชิงแชมป์เอเชียแปซิฟิค ครั้งที่ 1

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน​ 2562​ เวลา 19.00 น. นาย​พิพัฒน์​ รัช​กิจ​ประการ​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ เป็น​ประธาน​เปิดการแข่งขันสเปเชียลโอลิมปิกยูนิฟายด์แบดมินตันชิงแชมป์เอเชียแปซิฟิค ครั้งที่ 1 ปี 2562 ระหว่างวันที่ 12-16 พฤศจิกายน 2562 โดยมีนายเขมพล​ อุ้ย​ต​ยะ​กุล​ เลขานุการ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​การ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการ​คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ดร.นริศ ชัยสูตร นายกสมาคมกีฬาสเปเชียลโอลิมปิกแห่งประเทศไทย คณะ​ผู้บริหาร​ฯ และแขกผู้​มีเกียรติ ร่วมในพิธี ณ อินดอร์สเตเดี้ยม การกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก

การแข่งขันกีฬายูนิฟายด์เป็นการแข่งขันกีฬาในรูปแบบที่ส่งเสริมการเรียนรู้และการอยู่ร่วมกันในสังคม (Inclusive Society) ประกอบด้วยผู้เล่นที่เป็นนักกีฬาพิเศษ (พิการทางสติปัญญา และนักกีฬาทั่วไป(ไม่พิการ) ในทีมหรือคู่เดียวกันซึ่งอยู่ในเพศเดียวกัน วัยเดียวกัน และมีทักษะกีฬาเท่าเทียมกัน จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการร่วมมือระหว่างคนพิเศษกับคนปกติ และเพื่อแสดงให้เห็นว่าคนพิเศษสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้ อันเป็นการสร้างการยอมรับทางสังคมให้กับผู้พิการกลุ่มนี้

โดยได้รับความสนใจ​จากคณะนักกีฬาสเปเชียลโอลิมปิก 14 ประเทศ ในภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิค เข้าร่วม ประกอบด้วย อินเดีย ฮ่องกง มาเก๊า เกาหลีใต้ ปากีสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา เมียนมาร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนิเซีย มัลดีฟ และประเทศไทย แต่ละประเทศส่งผู้เข้าร่วมได้ 11 คน ประกอบด้วย คู่ยูนิฟายด์ชาย 2 คู่ + คู่ยูนิฟายด์หญิง 2 คู่ รวมนักกีฬา 8 คน ผู้ฝึกสอนชาย 1 คน + ผู้ฝึกสอนหญิง 1 คน รวมผู้ฝึกสอน 2 คน (ไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพ สามารถส่งได้ 2 ทีม) ผู้จัดการทีม 1 คน

สำหรับ​ประเภทการแข่งขัน แบ่งออกเป็น 2 รุ่นอายุ คือ
1. รุ่นอายุ 16-21 ปี ประเภทคู่ยูนิฟายด์ ชาย และ หญิง
2. รุ่นอายุ 22-29 ปี ประเภทคู่ยูนิฟายด์ ชาย และหญิง

บอร์ด สปสช. หนุน “อนุทิน”หลังคุย”หมอเลี๊ยบ” เร่งปฏิรูป “ห้องฉุกเฉิน” ลดแออัด

People Unity News : “อนุทิน” คุย “หมอเลี๊ยบ” ยกระดับห้องฉุกเฉินตั้งเป้าลดความแออัด จัดลำดับการรักษาอย่างถูกต้อง ขณะที่ บอร์ด สปสช. หนุน “แนวทางปฏิรูป” แยกจัดบริการนอกเวลาราชการ นำร่อง ปี 2563 ยกคุณภาพบริการลดความขัดแย้งวินิจฉัย

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าในโครงการยกระดับห้องฉุกเฉิน 21 โรงพยาบาลว่า ได้เชิญนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาหารือเรื่องนี้ พร้อมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง แนวคิดคือสร้างระบบคัดกรองผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ ห้องฉุกเฉิน ต้องใช้รักษาผู้ป่วยฉุกเฉินจริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าใครป่วย ก็ต้องการรักษาด่วนทั้งนั้น ซึ่งมันต้องหาทางออก ต้องปรับปรุงระบบคัดกรอง ได้ฟังข้อเสนอจากหลายฝ่าย เมื่อฟังแล้วเป็นประโยชน์กับประชาชน ลดความแออัดในโรงพยาบาลและห้องฉุกเฉิน ย่อมเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน ส่วนเรื่องงบประมาณอย่าเป็นห่วง เพราะถ้ามีประโยชน์ เรื่องนี้ ไม่ใช่ปัญหา

จากนั้น นายอนุทินได้กล่าวถึงโครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยว่า เป็นโครงการที่มีอยู่แล้ว เพราะอาหารโรงพยาบาล ต้องสะอาด ถูกหลักอนามัย เพียงแต่ช่วงนี้ หยิบมาพูดถึงอีกครั้ง ซึ่งมีนโยบายให้ทุกโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรไทย สร้างเม็ดเงินให้คนไทยด้วยกัน แต่ต้องระมัดระวังเรื่องสารเคมีตกค้างด้วย

ประเด็นเรื่องการยกระดับห้องฉุกเฉินนั้น สืบเนื่องมากจากที่นายอนุทินเคยโพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวระบุว่า กำลังหารือแนวทางพัฒนาห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล สร้างมาตรการ และมาตรฐานบริการประชาชน จะเริ่มต้นวันที่ 1 ธันวาคม นี้ ปรับปรุงศักยภาพ 21 โรงพยาบาล ก่อน ตามงบประมาณที่มี แล้วรองบประมาณปี 2563 ออกมา เพื่อจะพัฒนาให้ได้มากที่สุด

ผู้สื่อข่าวเปิดเผยว่า สำหรับโรงพยาบาล 21 แห่งข้างต้น ที่จะมีการปรับปรุงห้องฉุกเฉิน ประกอบด้วย เขต 1 รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ รพ.ลำปาง เขต 2 รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก เขต 3 รพ.สวรรค์ประชารักษ์ เขต 4 รพ.สระบุรี รพ.พระนครศรีอยุธยา รพ.ปทุมธานี เขต 5รพ.นครปฐม เขต 6 รพ.ชลบุรี รพ.ระยอง เขต 7 รพ.ขอนแก่น เขต 8 รพ.อุดรธานี เขต 9 รพ.มหาราชนคราราชสีมา รพ.บุรีรัมย์ เขต 10 รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี เขต 11 รพ.สุราษฎร์ธานี รพ.วชิระภูเก็ต เขต 12 รพ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และรพ.สังกัดกรมการแพทย์ 3 แห่ง คือรพ.ราชวิถี รพ.นพรัตนราชธานี และรพ.เลิดสิน

อย่างไรก็ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายอนุทิน ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) โดยที่ประชุมได้เห็นชอบข้อเสนอการใช้สิทธิบริการสาธารณสุข ตามนโยบาย “บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินคุณภาพ” นำเสนอโดย นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

นายอนุทิน กล่าวว่า ตามข้อเสนอ “แนวทางการปฏิรูปห้องฉุกเฉิน” โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2562 มีหลักการเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินเพื่อให้ผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินวิกฤตและเร่งด่วน ได้รับบริการมีคุณภาพมากขึ้น แยกการบริการเจ็บป่วยไม่รุนแรงและเจ็บป่วยทั่วไปออก และเพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการที่ไม่ถึงเกณฑ์เจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนมีสิทธิเข้ารับบริการนอกเวลาราชการ โดยมอบให้ สปสช. ร่วมพัฒนาระบบในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายการบริการผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการ

ที่ผ่านมา สปสช.ได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปห้องฉุกเฉิน โดยมีการออกประกาศตามข้อ 10 วรรคสอง ของข้อบังคับมาตรา 7 กำหนดเพิ่ม “เหตุสมควรอื่นเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินและเพิ่มคุณภาพในการใช้บริการนอกเวลาราชการ” เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน กำหนดเงื่อนไขจัดบริการนอกเวลาราชการเฉพาะหน่วยบริการเฉพาะที่มีศักยภาพตามแนวทางบริการฉุกเฉินคุณภาพ โดยแยกจัดบริการเป็น 2 ห้องชัดเจน ตามมาตรฐาน คือ ห้องฉุกเฉินคุณภาพเพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและเจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน (สีแดงและสีเหลือง) และห้องฉุกเฉินไม่รุนแรงเพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) และที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลา พร้อมแยกระบบข้อมูลบริการนอกเวลาราชการ

นอกจากนี้ได้เพิ่มค่าบริการสาธารณสุขนอกเวลาราชการในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการเป็นรายการบริการใหม่ โดยกำหนดอัตราชดเชยค่าบริการ 150 บาทต่อครั้ง ซึ่งในปีงบประมาณ 2563 (10 เดือน) คาดว่าจะมีการรับบริการประมาณ 1.05 ล้านครั้ง หรือร้อยละ 10 ของการรับบริการผู้ป่วยนอก ใช้งบประมาณไม่เกิน 157.50 ล้านบาท โดยจะเป็นการใช้เงินกองทุนรายการรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสะสมในการดำเนินการ

ด้าน นพ.การุณย์ กล่าวว่า การจ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขนอกเวลาราชการในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการนี้ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป โดยในปีงบประมาณ 2563 มีโรงพยาบาลร่วมนำร่องจับ 34 แห่ง ซึ่งผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

“สปสช.มีนโยบายสนับสนุนการปฏิรูปห้องฉุกเฉินตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้ห้องฉุกเฉินเป็นพื้นที่ดูแลเฉพาะรับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและผู้ป่วยเจ็บป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น ขณะเดียวกันเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับบริการนอกเวลาราชการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากช่วยลดความแออัดในห้องฉุกเฉินแล้วยังลดความขัดแย้งระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับผู้ป่วยและญาติในความเห็นที่ไม่ตรงกันกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน” นพ.การุณย์ กล่าว

Verified by ExactMetrics