วันที่ 19 เมษายน 2025

“เศรษฐา” ขอให้เชื่อมั่นในตัวนายกฯ เข้าใจธุรกิจ พร้อมนำประเทศแก้วิกฤติ

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 มีนาคม 2567 โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ – “เศรษฐา” ขอให้เชื่อมั่นในตัวนายกฯ เข้าใจธุรกิจ พร้อมนำประเทศแก้วิกฤติ เหน็บบางคนนั่งบนหอคอย ลงมามือเปื้อนดิน ตีนเปื้อนโคลนบ้าง น้อยใจ รมว.คลัง ไม่มีอำนาจลดดอกเบี้ย

นายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “นักธุรกิจรุ่นใหม่กับโอกาสในการสร้างธุรกิจและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ” โดยกล่าวว่า ถ้าย้อนหลังไป 10 กว่าปีที่ผ่านมา ตนถือเป็นหนึ่งในผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ แต่วันนี้มาเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว และหลายๆ ท่านได้ติดตามเรื่องวิสัยทัศน์  ซึ่งวันนี้พยายามที่จะสรุปให้ได้ใจความและโดยที่ไม่เป็นการเปิดเผยความลับของประเทศ การทำธุรกิจของทุกประเทศไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว ก่อนที่จะเป็นนายกฯ คนก็บอกว่าทำเถอะ ไม่มีทางสู้ตนได้ เพราะตนทำงาน 7 วัน 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ต้องมาช่วยสังคมกันบ้าง แต่เรื่องสำคัญคือทำให้วงการอุตสาหกรรมดีด้วยการแข่งขัน  พวกเรามีคู่แข่งที่ดีมีคุณภาพ ทำให้พัฒนาไปในอนาคต มีลูกค้าเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่แข่งขันแล้วเจ๊ง

“หากจะทำอสังหาริมทรัพย์ต้องเป็นงานจริงๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เปราะบางในปัจจุบันนี้ ดอกเบี้ยแพงโคตรขนาดนี้ ควรจะลดตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ลด พวกเราก็เดือดร้อนพอสมควร ผมเองก็เป็นคนอสังหาริมทรัพย์มาก่อน  จะเรียกร้องให้หนักกว่านี้ ผมก็มีความลำบากใจ เดี๋ยวจะหาว่าไปทำเพื่อตัวเองอีก แต่เรื่องดอกเบี้ยเป็นเรื่องสำคัญที่กำหนดกำลังซื้อ วันนี้ขอถามตรงๆ อสังหาริมทรัพย์มีใครพูดเรื่องเก็งกำไรหรือไม่ ก็ไม่มี ไม่มีใครโง่ไปเก็งกำไรหรอก  อย่ามีทิฐิเลยดีกว่า บังเอิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่มีอำนาจตรงนี้เลยไม่สามารถทำได้” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา ยังกล่าวว่าเรื่องสำคัญการเข้าถึงที่อยู่อาศัย  ถือเป็นการออมอย่างหนึ่ง ในเรื่องของการเก็งกำไร เลิกไปได้แล้ว วันนี้อย่าพูดเรื่องของวิกฤตหรือไม่วิกฤติ เป็นวาทกรรมเท่าไหร่ก็ไม่จบ จริงๆ แล้วเศรษฐกิจไทยต้องการการกระตุ้นใช่หรือไม่ ตนว่า 99% เห็นว่าจะต้องมีการกระตุ้น แต่ท่านมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากภาคอสังหาฯ ทำอะไรก็ต้องระวังตัว  ดูให้ดี และเหมาะสม ต้องใช้เวลาในการที่จะทำอะไรหลายอย่าง เพราะเป็นที่เพ่งเล็งของสังคม ฉะนั้นการจะทำอะไรก็ต้องรอบคอบ ระมัดระวัง ประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติเป็นหลัก

“มีอีกหลายอย่าง ซึ่งผมเคยพลาดแล้วโดนทัวร์ลงไปแล้ว อย่างเรื่องการครอบครองที่ดิน 1 ไร่ ที่ให้ชาวต่างชาติมาครอบครองได้ เขาบอกว่าทำให้คนไทยเข้าถึงที่อยู่ได้ลำบากขึ้น ที่ 1 ไร่ที่เราขายได้ หรือว่าคอนโดบ้านที่อยู่อาศัยขายคนต่างชาติได้มันราคาเท่าไหร่ ในตลาดที่ซื้อ โครงการต่างๆ ราคา 50 ล้าน 100 ล้านบาท มันเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถก้าวข้ามเรื่องขายชาติได้  อะไรก็ขายชาติ มันขายไม่ได้หรอก เพราะชาติ คือจิตวิญญาณของพวกเรา มันคือชาติ  ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชน เรื่องที่ดินเอากลับไปไม่ได้ ขายไม่ได้ แต่รัฐบาลที่แล้ว โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ  มีเจ้าหน้าที่หลายคนระดับสูงเข้ามาปรึกษาผมว่าทำอย่างไรจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำอย่างไรให้ต่างชาติเข้ามาถือที่ดินได้ ผมบอกว่าต่อให้มี 749 เสียงกับ 750 เสียงในสภา ก็ไม่มีทางให้ต่างชาติมาถือที่ดิน เพราะอย่างไรก็ไม่ผ่าน และจิตใจคนไทยสังคมไทยรับไม่ได้ให้ต่างชาติมาถือที่ดิน อย่าพูดด้วยเหตุผล  เป็นความรู้สึกมากกว่า ที่เขายอมไม่ได้ ยังไงก็ยอมไม่ได้ ฉะนั้นตรงนี้ลำบากจริงๆ“ นายเศรษฐา กล่าว

ฉะนั้นกฎหมายเหล่านี้จะต้องมาแก้ไขให้ถูกต้องให้เหมาะสม เพื่อให้การทำธุรกรรมผ่านไปได้ ในฐานะที่เคยทำธุรกิจมาก่อน จะพยายามทำกฎข้อบังคับเหล่านี้ เพื่อให้กฎหมายลูกที่มารองรับสามารถทำงานได้ง่าย และสะดวกสบายขึ้น  หากพูดถึงประเทศ ถ้าจีดีพีดี อัตราการเจริญเติบโตภาคอสังหาริมทรัพย์จะไปได้ดี

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ว่า ประเทศไทย 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโต 1.8% ภาคอสังหาฯ ไม่มีอะไรดี หยอดน้ำข้าวต้มไปเรื่อยๆ แต่การทำดิจิทัลวอลเล็ต ยืนยันไม่มีการทุจริต เป็นการส่งตรงจากภาครัฐ ผ่านเทคโนโลยีเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล ที่สามารถตรวจสอบได้ เหมือนสมัยก่อนที่ให้เอาเงินใส่กระเป๋า แต่ถามว่าได้หมดทุกคนหรือไม่ อยู่ที่ฐานเงินเดือนที่กำหนดไว้ 70,000 บาท และที่ช้ามานานขนาดนี้ เพราะบอกไม่ให้คนรวย แต่ไม่ได้บอกว่าคือใคร ซึ่งตนก็ขอให้กำหนดมาเลยดีกว่าคนรวยคืออะไร ตนก็คอยอยู่เดือนกว่า ก็ไม่บอกมาคนรวยคืออะไร ไม่มีใครกล้าบอกว่าใครคือคนรวย เงินเดือน 70,000 บาท ยังบอกอยู่เลยว่ายังเป็นหนี้ แต่ไม่ใช่คนรวย

“เมื่อมีองค์กรเสนอแนะมา เราก็พยายามที่จะรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนให้เหมาะสม ผมพยายามฟังจากทุกคน  ทั้งสถาบันการเงิน ฝ่ายปกครอง  ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายดิจิทัล เราพยายามทำให้เหมาะสมที่สุดแล้ว ว่าทำไมถึงต้องเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ทำไมถึงต้อง 10,000 บาท  และทำไมถึงต้อง 5 แสนล้านบาท ได้อธิบายไปแล้ว และเชื่อว่าจะมีการจ้างงานมีการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ 5 แสนล้านบาท ประมาณ 17% ของงบประจำปี ยืนยันไม่มีการทุจริต” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา ยังกล่าวถึงการเดินทางไปต่างประเทศว่า ไปเมืองนอกมา 10 กว่าครั้ง ไปประกาศให้ชาวโลกรู้ ว่าประเทศไทยเปิดแล้ว เพื่อรองรับการลงทุน คนที่ไม่ใช่แฟนคลับบอกไปตั้งหลายหนอะไรก็ไม่เกิด ขอถามหน่อยว่า 7 เดือน มีใครตกลงได้ การลงทุนเป็นแสนล้าน คุณจะทำคอนโดหมู่บ้านจัดสรรใช้เวลาตัดสินใจเท่าไหร่ กว่าจะตรวจเสาเข็ม ผลงานยังไม่ออก ให้คอยไปก่อน

“วันนี้ขี้เกียจไปตอบ ผู้ที่นั่งทางในอยู่บนหอคอยทั้งหลาย  ลงมามือเปื้อนดิน ตีนเปื้อนโคลนบ้าง การเดินทางไปเมืองนอกไม่สนุก ถามว่าผมเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยไปเมืองนอกหรือเปล่า สนุกกว่าสบายกว่า แต่เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ และประเทศไทยปิดมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ตารางงานผมแน่น วันหนึ่งไป 19 วงไม่สนุก ไม่เห็นเดือน เห็นตะวัน แต่ต้องไป เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการลงทุน เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมทุกภาคส่วนของประเทศไทย ทำให้เรามีกินมีใช้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นี่ผ่านไปแค่ 7 เดือน จริงๆ 6 เดือนกว่า  ฉะนั้นงบประมาณยังไม่ได้ใช้สักบาท เพิ่งผ่านไปสภาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วใช้แต่นโยบายอย่างเดียวที่ประกาศไป” นายเศรษฐา กล่าว

นายกฯ ยังกล่าวถึงปัญหาในภาคใต้ ว่าเป็นนายกฯ คนแรกที่ลงในพื้นที่ภาคใต้ 2 คืน 3 วันยอมรับมีความเสี่ยง  ตนบอกไม่ให้มีใครใส่เสื้อเกาะ หรือทหารนำรถถังตามมา เพราะตนมั่นใจว่าไปด้วยเจตนารมณ์ที่ดี  ไปด้วยความตั้งใจจริง  และขอหาเสียงด้วย เพราะพรรคเพื่อไทยไม่มี สส.ในพื้นที่ อย่าไปเชื่อวาทกรรมที่ผู้นำบางคนพูด ว่าเพื่อไทยไม่เคยให้ความสำคัญกับภาคใต้   สนามบินจังหวัดภูเก็ต พรรคเพื่อไทยไม่มี สส. แต่ลงทุนไปหลายหมื่นล้านบาท การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ถ้าไม่มีสนามบินสุวรรณภูมิวันนี้เราอยู่ตรงไหนของโลก

“แต่มีวาทกรรมบอกว่า  นายกฯ เลียรองเท้าบูทบ้าง อะไรบ้าง ผมไม่ได้เลีย แต่เราพูดคุยด้วยภาษาที่เหมาะสม ไม่ได้ไปบอกว่าทหารมีพื้นที่เยอะไป ยึดพื้นที่มา ไม่ใช่ ผมไม่ได้ไปยึด หรือไปขอ ไปพูดคุยและไม่ได้บอกว่าจะไปยึดคืนทุกที่ แต่ไปขอร้อง ไปอธิบายให้ฟัง หากท่านคืนสนามกอล์ฟตรงนี้มาประโยชน์กับประเทศไทยจะไปขนาดไหน ท่านต้องการอะไรเป็นผลตอบแทน เขาบอกว่าสนามกอล์ฟปีละ 5 ล้านบาท  ไม่เป็นอะไร ผมให้เอาสนามกอล์ฟออกไป ตรงนั้นจะเป็น Part 1 ของสนามบินดอนเมือง อาจจะเป็นศูนย์ซ่อมเครื่องบินของโบอิ้งหรือแอร์บัส หรือเป็นไพรเวทเจ็ท ซึ่งเรื่องนี้สำคัญและต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”  นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงจุดยืนของประเทศไทย ว่าเรามีความเป็นกลาง วันนี้ความเป็นกลางของเรา จะนำให้ประเทศพ้นจากวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจ  เป็นความต้องการอย่างสูงจากทุกประเทศที่อยากมาพูดคุย มาลงทุนใช้ประเทศไทยเป็นเวทีกลางในการเจรจา โดยไม่ต้องสงสัยทำไมไทยมีทุกๆ ประเทศมาลงทุน เพราะความเป็นกลางทางด้านการเมืองของเรา  หากเราฝักใฝ่กับชาติใดชาติหนึ่ง ไม่เป็นกลาง ทั่วโลกจะไม่มั่นใจลงทุนกับเรา

“สิ่งสำคัญเราต้องยอมรับว่ากำลังมีปัญหา ทางความมั่นคงเราดีขึ้นมาก เสถียรภาพทางด้านการเมืองดีขึ้นมาก เศรษฐกิจเรามีปัญหา การกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นความจำเป็น ตนไม่ได้หมายถึงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเดียว แต่อีกหลายเรื่องที่จะต้องทำ ซึ่งเราจะทำต่อไป แต่ผลที่จะเกิดขึ้น คงต้องอีกพอสมควร คิดว่าประมาณ 18 เดือน แต่อย่าลืมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตลาดหุ้นมีความไวต่อสัญญาณที่ดี หาก 6 เดือนหรือ 12 เดือนตลาดจะเด้งแรงมาก ข่าวดีอันนึง หมดปีงบประมาณไปแล้ว 6 เดือน ยังไม่ได้ใช้งบประมาณสักบาท ในวันที่ 1 พ.ค.ใช้ได้เหลืออีกแค่ 5 เดือน งบประมาณตัวนี้บวกกับงบประมาณหน้า 24 เดือน  ก็ใช้ไปแค่ 16 เดือน ฉะนั้นจะมีการลงทุนเยอะมาก อันนี้เป็นเรื่องของข่าวดี และข่าวดีอีกเรื่องคือ ประเทศไทยมีนายกฯที่เข้าใจ และมีความตั้งใจจริง ที่จะทำให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิต การลงทุน การจัดซื้อจัดจ้าง เราจะดูทั้งหมด เพราะเราทราบดี เคยทำมาก่อน ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด  และขอให้เป็นกำลังใจและขอให้มีความอดทนต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

Advertisement

รัฐบาลหนุนผ้าไทย-ผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่เวทีโลก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 มีนาคม 2567 ทำเนียบรัฐบาล – นายกฯ ทวิต X ระบุรัฐบาลสนองแนวพระราชดำริ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ส่งเสริม-สนับสนุนผ้า ผลิตภัณฑ์ของประชาชน สู่สายตาชาวโลก ชื่นชมดีไซเนอร์เข้าใจ เข้าถึงเอกลักษณ์

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านแอพพลิเคชั่น X ว่า รัฐบาลสนองแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เรื่องการส่งเสริม และสนับสนุนผ้า และผลิตภัณฑ์ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ เราจึงมีนโยบายนำผ้าไทยของพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ไปสู่สายตาชาวโลก ที่ผ่านมาผมเองก็ได้ใส่เสื้อที่ตัดจากผ้าไทยปฏิบัติภารกิจทั้งใน และต่างประเทศด้วย

“งานกาล่าเมื่อคืน ผมเห็น Item จากผ้าไทยท้องถิ่นที่ดีไซน์โดยดีไซเนอร์และแบรนด์ระดับโลกที่เปิดตัวมา ต้องบอกว่า สวยมาก ๆ เลยครับ ผมขอชื่นชมดีไซเนอร์ที่เข้าใจ และเข้าถึงเอกลักษณ์ของเรา จนสามารถนำมาปรับและต่อยอดให้สวย หรูหรา กลายเป็นผลงานระดับโลกแต่ยังคงความเป็นไทยไว้ได้อย่างงดงาม นี่ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผ้าไทยไปสู่สายตาชาวโลกครับ ผมหวัง และตั้งใจให้ผ้าไทยมีการพัฒนาต่อยอดอย่างไม่รู้จบ รัฐบาลเราพร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่ครับ” นายกรัฐมนตรี ระบุ

Advertisement

คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เลือก “ธนินท์ เจียรวนนท์” เป็นผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2567

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 16 มีนาคม 2567 ทำเนียบ – คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เคาะเลือก “ธนินท์ เจียรวนนท์” เป็นผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2567 หนุนเดินหน้า “ธนาคารเวลา” รองรับสังคมสูงวัย เริ่มทำแล้ว 80 พื้นที่ เป็นการบริการคนอื่นเพื่อเก็บเวลา มาใช้ยามจำเป็นต้องมีคนช่วย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เพื่อพิจารณาการขับเคลื่อนนโยบายการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ พร้อมรับทราบข้อเสนอเชิงนโยบายวิกฤตประชากรและสังคมสูงวัย และข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการขับเคลื่อนสังคมสูงวัย โดยมีการนำเสนอเรื่องที่น่าสนใจ คือ ธนาคารเวลา รองรับสังคมสูงวัย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สมาชิกแลกเปลี่ยนบริการขั้นพื้นฐาน โดยบันทึกเวลาไว้ในบัญชีธนาคาร เพื่อเบิกเวลามาใช้ยามจำเป็น ซึ่งจะมีผู้จัดการเป็นผู้ประสานการบริการ

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีธนาคารเวลาแล้ว 32 ประเทศ ใน 8 ทวีป เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ซึ่งในประเทศไทยมีการดำเนินงานธนาคารเวลาแล้ว 80 พื้นที่ โดยรูปแบบในประเทศไทยยังเป็นการเก็บเวลา เพื่อแลกกับเวลาเท่านั้น ยังไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ เพราะต้องการทำให้ทุกคนรู้สึกเท่าเทียม เวลาจึงมีค่าเท่ากันทั้งหมด ซึ่งตนมองว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เราสามารถไปบริการคนอื่น เพื่อเก็บเวลามาใช้ในวันที่เราต้องมีผู้ช่วยไปทำธุระ เช่น ไปซื้อของ ไปโรงพยาบาล โดยที่ประชุมก็มีการเสนอแนะให้เก็บเวลาเป็นดิจิทัลด้วย เพราะจะได้สามารถบันทึกเวลาได้ยาวนาน

นายสมศักดิ์ ยังเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ยังได้มีการพิจารณารายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเพื่อประกาศสดุดีเกียรติคุณผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2567 โดยได้มีการสรรหาผู้สูงอายุที่เป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม ซึ่งมีผู้ได้รับเสนอรายชื่อ จำนวน 53 ราย โดยเมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์ ที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบให้นายธนินท์ เจียรวนนท์ อายุ 85 ปี เป็นผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2567 เพราะที่ผ่านมา นายธนินท์ ได้ช่วยเหลือสังคม ด้วยการขับเคลื่อนโครงการทรูปลูกปัญญา เป็นการมอบโอกาสการเรียนรู้อย่างเท่าเทียม พร้อมสนับสนุนด้านการศึกษาแก่เยาวชนของชาติมาเป็นเวลากว่า 40 ปี จึงประกาศสดุดีเกียรติคุณยกย่องให้เป็นผู้สูงอายุแห่งชาติ

Advertisement

เริ่มขายพรุ่งนี้ (6 มี.ค.) พันธบัตรออมทรัพย์ ผ่านแอปเป๋าตัง 1 หมื่นล้านบาท

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 5 มีนาคม 2567 คลัง ขายพันธบัตรออมทรัพย์ ผ่านแอปเป๋าตัง 1 หมื่นล้านบาท  6 มี.ค. นี้  อายุ 5 ปี ดอกเบี้ย 3 % ต่อปี อายุ 10 ปี ดอกเบี้ย 3.4 %

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กล่าวว่า วันที่ 6 มี.ค. กระทรวงการคลัง ได้เริ่มเปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์  ประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 40,000 ล้านบาท งวดแรก จากเป้าหมาย  1 แสนล้านบาท เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณปี 67 ส่วนที่เหลืออีก 6 หมื่นล้านบาท จะดูสภาพตลาดตามความเหมาะสม

กระทรวงการคลังได้แบ่งการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งนี้ คือ 1.การจำหน่ายให้กับประชาชน วงเงิน 35,000 ล้านบาท ผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่ วอลเล็ต สบม. (สะสมบอนด์มั่งคั่ง) บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง วงเงิน 10,000 ล้านบาท และช่องทางต่างๆ ของธนาคารตัวแทนจำหน่าย วงเงิน 25,000 ล้านบาท และ 2. การจำหน่ายให้กับนิติบุคคลไม่แสวงหากำไรตามที่กระทรวงการคลังกำหนด วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดช่องทางการจำหน่าย ดังนี้

1.การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง พันธบัตรออมทรัพย์บนวอลเล็ต สบม. ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ครั้งที่ 1 วงเงิน 10,000 ล้านบาท รุ่นอายุและผลตอบแทน (จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน) 5 ปี 3.00% ต่อปี, 10 ปี 3.40% ต่อปี วันจำหน่าย 6 – 19 มีนาคม 2567 ผู้มีสิทธิ์ซื้อ บุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทย ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป วงเงินขั้นต่ำ-ขั้นสูง 100 บาท – 50,000,000 บาท (หน่วยละ 100 บาท) ช่องทางการจำหน่าย วอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อลงทะเบียน ยืนยันตัวตน และเติมเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ผ่าน Mobile Banking หรือผูกบัญชีธนาคารกรุงไทย รวมถึงเติมเงินด้วย Wallet ID ที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา

2.การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) พันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 1 ช่วงที่ 1 จองซื้อได้วันที่ 11-13 มีนาคม 2567 วงเงิน 25,000 ล้านบาท ผู้มีสิทธิ์ซื้อบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทย หรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย รุ่นอายุและผลตอบแทน (จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน) 5 ปี 3.00% ต่อปี, 10 ปี 3.40% ต่อปี วงเงินขั้นต่ำ-ขั้นสูง 1,000 บาท-ไม่จำกัดวงเงินขั้นสูง (หน่วยละ 1,000 บาท)

ช่องทางการจำหน่าย Internet Banking Mobile Banking และเคาน์เตอร์ของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง

พันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 1 ช่วงที่ 2 จำหน่ายวันที่ 18-19 มีนาคม 2567 วงเงิน 5,000 ล้านบาท

ผู้มีสิทธิ์ซื้อ สภากาชาดไทย มูลนิธิ สมาคม สหกรณ์ วัด สถานศึกษาของรัฐ โรงพยาบาลของรัฐ นิติบุคคลอาคารชุด นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร และนิติบุคคลอื่นที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไร รุ่นอายุและผลตอบแทน (จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน) 10 ปี 3.00% ต่อปี วงเงินขั้นต่ำ-ขั้นสูง 1,000 บาท – ไม่จำกัดวงเงินขั้นสูง (หน่วยละ 1,000 บาท) ช่องทางการจำหน่าย เคาน์เตอร์ของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง

การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ให้กับประชาชนในช่วงที่ 1 (วันที่ 11 – 13 มีนาคม 2567) จะใช้วิธีการจัดสรรพันธบัตรแบบ Small Lot First (ทยอยจัดสรรพันธบัตรเป็นรอบๆ เวียนจนครบผู้ซื้อทุกราย) โดยทวีคูณรอบละ 1,000 บาท ซึ่งลำดับในการจองซื้อก่อน-หลัง ไม่มีผลต่อการจัดสรร

ในกรณีที่วงเงินพันธบัตรที่จะจัดสรรในรอบสุดท้ายไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้ผู้ซื้อทุกราย ระบบคอมพิวเตอร์จะจัดสรรพันธบัตรในรอบสุดท้ายด้วยวิธีการสุ่ม (Random) จนครบวงเงินจำหน่าย ทั้งนี้ ผู้จองซื้อจะทราบผลการจัดสรรพันธบัตรและได้รับเงินคืน กรณีที่ไม่ได้รับจัดสรรพันธบัตร หรือได้รับจัดสรรไม่ครบตามวงเงินจองซื้อ ในวันที่ 14 มีนาคม 2567 (รายละเอียดและเงื่อนไขการจำหน่ายเป็นไปตามเอกสารการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง) วงเงินที่จำหน่ายบนวอลเล็ต สบม. และผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายจะแยกจากกัน โดยผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ทั้ง 2 ช่องทาง โดยประชาชนที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวนและเอกสารสรุปเงื่อนไขการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ หรือสอบถามได้กับธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง สบน. หวังว่าการจำหน่ายพันธบัตรในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี ในการลงทุนกับพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาล

Advertisement

ปิดลงทะเบียนแจ้งหนี้นอกระบบ  ประชาชนร่วมแก้หนี้ 151,175 ราย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 29 กุมภาพันธ์ 2567 ปลัด มท. เผยสิ้นสุดการเปิดรับลงทะเบียนหนี้นอกระบบ ประชาชนลงทะเบียนรวม 151,175 ราย มูลหนี้ 11,732 ล้านบาท ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 18,509 ราย มูลหนี้ลดลง 771 ล้านบาท เดินหน้าไกล่เกลี่ยให้ครบ 100% ควบคู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

วันนี้ (29 ก.พ. 67) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงผลการลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ วันที่ 91 โดยสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ได้รายงานผลการลงทะเบียนพบว่า มีประชาชนลงทะเบียนแล้ว 151,175 ราย มูลหนี้รวม 11,732.506 ล้านบาท เป็นการลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ 125,081 ราย และการลงทะเบียน ณ ศูนย์อำนวยการแก้ไขหนี้นอกระบบ 27,348 ราย รวมจำนวนเจ้าหนี้ 125,302 ราย มีพื้นที่/จังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนมากที่สุด 5 ลำดับแรก ดังนี้ 1. กรุงเทพมหานคร ยังคงมีผู้ลงทะเบียนมากที่สุด 10,091 ราย เจ้าหนี้ 9,047 ราย มูลหนี้ 1,065.464 ล้านบาท 2. จังหวัดนครศรีธรรมราช มีผู้ลงทะเบียน 6,115 ราย เจ้าหนี้ 5,887 ราย มูลหนี้ 425.187 ล้านบาท 3. จังหวัดสงขลา มีผู้ลงทะเบียน 5,570 ราย เจ้าหนี้ 4,589 ราย มูลหนี้ 383.455 ล้านบาท 4. จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ลงทะเบียน 5,273 ราย เจ้าหนี้ 4,443 ราย มูลหนี้ 489.563 ล้านบาท และ 5. จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ลงทะเบียน 4,412 ราย เจ้าหนี้ 3,364 ราย มูลหนี้ 438.838 ล้านบาท ขณะที่จังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนน้อยที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ 1. จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีผู้ลงทะเบียน 250 ราย เจ้าหนี้ 251 ราย มูลหนี้ 16.274 ล้านบาท 2. จังหวัดระนอง มีผู้ลงทะเบียน 351 ราย เจ้าหนี้ 267 ราย มูลหนี้ 24.415 ล้านบาท 3. จังหวัดสมุทรสงคราม มีผู้ลงทะเบียน 406 ราย เจ้าหนี้ 316 ราย มูลหนี้ 18.819 ล้านบาท 4. จังหวัดสิงห์บุรี มีผู้ลงทะเบียน 474 ราย เจ้าหนี้ 383 ราย มูลหนี้ 28.483 ล้านบาท และ 5. จังหวัดตราด มีผู้ลงทะเบียน 479 ราย เจ้าหนี้ 364 ราย มูลหนี้ 21.487 ล้านบาท

“สำหรับข้อมูลการไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบทั่วประเทศพบว่า มีลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยแล้ว 28,725 ราย ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 18,509 ราย มูลหนี้ของลูกหนี้ก่อนการไกล่เกลี่ย 2,626.784 ล้านบาท หลังการไกล่เกลี่ย 1,855.474 ล้านบาท มูลหนี้ลดลง 771.309 ล้านบาท และจังหวัดที่สามารถนำลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยได้มากที่สุดยังคงเป็นจังหวัดนครสวรรค์เช่นเดิม โดยมีลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย 3,373 ราย ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 518 ราย มูลหนี้ของลูกหนี้ก่อนไกล่เกลี่ย 287.587 ล้านบาท หลังการไกล่เกลี่ย 53.511 ล้านบาท ทำให้มูลหนี้ของพี่น้องประชาชนในจังหวัดนครสวรรค์ลดลง 234.076 ล้านบาท สำหรับกรณีที่ไม่ได้รับความร่วมมือกระทั่งไม่สามารถดำเนินการไกล่เกลี่ยได้ เจ้าหนี้และลูกหนี้มีความประสงค์ให้เจ้าหน้าที่ได้ส่งต่อเรื่องไปยังพนักงานสอบสวนของสถานีตำรวจในพื้นที่แล้ว 310 คดี ใน 43 จังหวัด” นายสุทธิพงษ์ กล่าว

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีนโยบายในเรื่อง “การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ” ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนอยู่ในปัจจุบัน โดยให้คำจำกัดความว่าคนที่เป็นหนี้นอกระบบเปรียบเสมือนเป็น “ทาสยุคใหม่” จึงได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง เราจึงได้มีช่องทางในการรวบรวมข้อมูลโดยการเปิดรับลงทะเบียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 จนถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการรับลงทะเบียนแล้ว ข้อมูลของประชาชนทุกคนที่มาลงทะเบียนจะเป็นฐานข้อมูลของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ในฐานะหัวหน้าศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบจังหวัด/อำเภอ จะได้บูรณาการกับทุกภาคส่วน ทั้งอัยการ ทหาร ตำรวจ ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือในเรื่องหนี้นอกระบบ อำนวยความสะดวกทำให้ลูกหนี้ได้ชำระหนี้ในอัตราที่เป็นธรรม และเข้าสู่ระบบของสถาบันการเงินของรัฐ โดยมีการชำระเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้พี่น้องประชาชนได้มีแหล่งเงินทุนในการชำระหนี้ และได้มีเงินไปเลี้ยงดูครอบครัวได้

“ในส่วนของกระบวนการไกล่เกลี่ย จากการดำเนินการมาตลอดระยะเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าของกระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้ ซึ่งมาตรการในระยะสั้นเราได้เชิญลูกหนี้และเจ้าหนี้มาพูดคุยตกลงกัน สามารถลดต้นลดดอกของหนี้ได้ ทำให้เราสามารถช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบกลุ่มแรกได้สำเร็จ ในส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการต่อไป อาจต้องใช้เวลาในการนำลูกหนี้และเจ้าหนี้ทั้ง 2 ฝ่ายมาพูดคุยกัน ในส่วนของข้อมูลเจ้าหนี้ที่มีพฤติการใช้ความรุนแรง ข่มขู่ ในการทวงหนี้ จำนวนกว่า 5 หมื่นราย ทางกระทรวงมหาดไทยได้ส่งข้อมูลให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีต่อไป สำหรับมาตรการระยะยาว นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีนโยบายในการช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับลูกหนี้นอกระบบ ส่งเสริมการพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพ โดยบูรณาการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้นอกระบบเข้าสู่กระบวนการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมแนวทางให้ลูกหนี้สามารถลดรายจ่ายในชีวิตประจำวัน ส่งเสริมการปลูกผักสวนครัวและการเลี้ยงสัตย์เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยน้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตามโครงการ “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” และ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” ตลอดจนส่งเสริมแนวทางจัดทำบัญชีครัวเรือน ลดความฟุ่มเฟือย หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา การเล่นพนัน และรวมไปถึงการขยายโอกาสให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพต่อไป” นายสุทธิพงษ์ กล่าว

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันสิ้นสุดการรับลงทะเบียนหนี้นอกระบบ แต่เป็นวันเริ่มต้นในการสะสางปัญหาหนี้ให้กับผู้ที่มาลงทะเบียน เพราะกระบวนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบยังไม่สิ้นสุด และเราจะเดินหน้าต่อจนกว่าจะเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยครบ 100% อย่างไรก็ตามประชาชนยังคงลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ ที่ https://debt.dopa.go.th ภายในเวลา 24.00 น. ของวันนี้ โดยหลังจากที่ปิดรับลงทะเบียนแล้วหากมีประชาชนผู้ที่เดือดร้อนจากหนี้นอกระบบประสงค์จะขอความช่วยเหลือ สามารถโทรสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือสามารถเดินทางไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด/อำเภอ เพื่อให้ทางราชการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งเราไม่ได้ช่วยเหลือแค่หนี้นอกระบบแต่ยังเป็นการช่วยเหลือในทุกด้าน อาทิ การศึกษา ยาเสพติด ที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค หรือปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ ที่พี่น้องประชาชนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง เพราะทุกปัญหามีทางออก จึงขอให้ทุกท่านอย่าได้ลังเลใจที่จะขอความช่วยเหลือผ่านช่องทางของรัฐ ผ่านทางศูนย์ดำรงธรรมของกระทรวงมหาดไทย ที่จะเป็นช่องทางที่รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยมีไว้เพื่อให้การช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน

Advertisement

“พีระพันธุ์” ลั่นจะพยายามตรึงค่าไฟงวด พ.ค.-ส.ค.67 ไว้ที่ 4.18 บาท/หน่วย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 27 กุมภาพันธ์ 2567 “พีระพันธุ์” รมว.พลังงาน ยืนยันจะพยายามตรึงค่าไฟงวดหน้าไว้ที่ 4.18 บาท/หน่วย หลังจะต้องปรับอัตราค่าไฟฟ้างวดต่อไป (พ.ค.-ส.ค.) ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานของประชาชน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ค่าไฟฟ้างวดปัจจุบัน (งวด ม.ค.-เม.ย.) ที่เรียกเก็บหน่วยละ 4.18 บาท จะสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน ซึ่งทาง กกพ.จะต้องปรับอัตราค่าไฟฟ้างวดต่อไปคือเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ในเร็วๆ นี้ ซึ่งตนพยายามจะคงอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนพฤษภาคม-เดือนสิงหาคม ไว้ในอัตราเดิม คือหน่วยละ 4.18 บาท ให้ได้มากที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากได้รับการยืนยันจาก ปตท.สผ.ว่าจะสามารถขุดก๊าซจากอ่าวไทยที่ขาดหายไปจำนวนมากกลับคืนมาได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป และในวันพรุ่งนี้ (28 ก.พ.) ตนเองจะเดินทางไปดูการทำงานของ ปตท.สผ. ที่หลุมขุดเจาะเอราวัณกลางอ่าวไทย เพื่อให้มั่นใจว่า ปตท.สผ.จะสามารถดำเนินการได้ตามที่รับปากไว้ นอกจากนี้ยังพบว่ามีปัจจัยบวกอื่นๆ อีกหลายปัจจัยที่จะช่วยให้สามารถคงอัตราค่าไฟฟ้าไว้ในอัตราเดิม

“เราเป็นห่วงประชาชน จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานของประชาชนซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญลงให้ได้ โดยใช้มาตรการทุกอย่างที่ทำได้ภายใต้โครงสร้างปัจจุบันก่อนที่จะรื้อทั้งระบบภายในปีนี้“ นายพีระพันธุ์ กล่าว

Advertisement

กฟผ. ยัน “ปลูกป่าล้านไร่” ปลูกจริง ไม่ได้ปลูกทิพย์ ตรวจสอบได้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 21 กุมภาพันธ์ 2567 กฟผ.ย้ำโครงการปลูกป่า อย่างมีส่วนร่วม ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 2 แสนไร่เดินหน้า เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน พร้อมรับการตรวจสอบจากทั้งหน่วยงานภายในและภายนอก

นายชัยวุฒิ หลักเมือง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน ในฐานะรองโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวถึง โครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วมเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2565 ร่วมกับพันธมิตรและประชาชนในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเป็นการปลูกป่าในพื้นที่ของกรมป่าไม้และกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ด้วยการปลูกฟื้นฟูสภาพป่า (200 ต้นต่อไร่) เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตอบสนองนโยบาย Carbon Neutrality ของประเทศ โดยในช่วงปี 2565 – 2566 สามารถดำเนินการปลูกป่าและบำรุงรักษาป่าคิดเป็นพื้นที่กว่า 188,692 ไร่  เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมปลูกป่าแบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการทำสัญญาจ้างปลูกและบำรุงรักษาป่าโดยตรงกับประชาชนในพื้นที่ เสริมสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วม เกิดความหวงแหนป่า และสร้างเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนในพื้นที่

สำหรับการคัดเลือกประชาชนในพื้นที่มาเป็นผู้รับจ้างปลูกและบำรุงรักษาป่าในโครงการนี้ดำเนินการผ่านการทำประชาคมหมู่บ้าน และกรมที่เป็นเจ้าของพื้นที่จะออกหนังสือรับรองความเชี่ยวชาญในการปลูกและบำรุงรักษาป่าของผู้รับจ้าง กฟผ. จึงจะลงนามสัญญาจ้างบุคคลดังกล่าวได้ จากนั้นผู้รับจ้างก็ดำเนินการปลูกและบำรุงรักษาป่าตามรายละเอียดที่กำหนดในเงื่อนไขงานจ้าง

ส่วนการลงพื้นที่ตรวจรับงานปลูกและบำรุงรักษาป่าจะต้องมีการจัดเตรียมข้อมูลพิกัดพื้นที่และเอกสารประกอบการตรวจรับงานจ้าง พร้อมประสานนัดหมายผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งการลงพื้นที่เพื่อตรวจรับงานทุกครั้งต้องประกอบด้วย 3 ฝ่าย ร่วมกันลงพื้นที่ ทั้งหน่วยงานกรมเจ้าของพื้นที่ , ผู้รับจ้าง (คู่สัญญา) ซึ่งเป็นประชาชนในพื้นที่ และ ผู้แทน กฟผ.

โดยการตรวจรับงานเป็นการสุ่มตรวจในพื้นที่ดำเนินการปลูกหรือบำรุงรักษาป่าทุกแปลงจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ของพื้นที่ พร้อมสุ่มตรวจอัตราการรอดตายของต้นไม้ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันของทั้ง 3 ฝ่าย และสอดคล้องกับแนวทางการตรวจแปลงสำรวจและเก็บข้อมูลโครงการประเภทป่าไม้ในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ซึ่งการเบิกจ่ายค่าจ้างปลูกและบำรุงรักษาป่าจะจ่ายตามผลงานที่เกิดขึ้นจริงโดยจ่ายตรงกับประชาชนที่เป็นคู่สัญญากับ กฟผ. แต่หากพื้นที่ใดไม่มีการปลูกป่าจริงก็จะถูกยกเลิกสัญญา

Advertisement

นายกฯ ดันนครพนม เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 17 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ ดัน จ.นครพนม เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก เชื่อมีศักยภาพจัดเทศกาลระดับโลก – ขอภาคเอกชนช่วยโปรโมทสินค้านครพนม สู่ตลาดโลก

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมายังจุดที่ 3 ประชุมหารือแผนพัฒนาและแก้ไขปัญหาของจังหวัดนครพนม ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยนครพนม

โดยรับฟังบรรยายสรุป พิจารณาแผนงานของจังหวัดนครพนม ที่ขอการสนับสนุนจากรัฐบาล ได้แก่โครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และการบริหารจัดการน้ำ การยกระดับเมืองรองเป็นเมืองหลัก Medical and wellness Hub ให้จังหวัดนครพนมเป็นเมืองหลักแห่งการพักผ่อน พร้อมส่งเสริมให้ มีเทศกาลต่างๆ เช่น นครพนมแฟชั่นวีค ยกระดับเทศกาลไหลเรือไฟโลก

ซึ่งช่วงหนึ่งในการรับฟังรายงาน นายกรัฐมนตรีได้สอบถามความคืบหน้าและงบประมาณ ที่จะใช้ในการก่อสร้างโรงพยาบาลนครพนม ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องการให้เสนอแผนงานรวมกันกับแผน Medical and wellness Hub โดยนายจุลพันธ์อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ เสนอว่าการทำโครงการนี้จะต้องใช้งบกลาง เนื่องจากเป็นการดำเนินการในงบผูกพันต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าดีใจที่ได้กลับมาจังหวัดนครพนมอีกครั้งหลังจากการเลือกตั้ง ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับจังหวัดนครพนม ที่ถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ จากการรับฟังรายงาน ทราบว่ารายได้ของจังหวัดนครพนมแบ่งเป็น ร้อยละ 30 มาจาก ภาคการเกษตรและอีกร้อยละ 70 มาจากภาคการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้า ถือเป็นตัวเลขที่ สะท้อนความเป็นจริง

ส่วนระบบชลประทานเชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไร คงได้มีการพูดคุยกันอยู่แล้วอยู่แล้ว ขอให้สบายใจว่าเราจะดูแลอย่างเต็มที่

นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าในอนาคต ไม่เกิน 5 ปี จะสามารถพัฒนาให้สนามบินจังหวัดนครพนม เป็นสนามบินนานาชาติ เพราะจังหวัดนครพนมมีจุดแข็ง สมควรได้ยกระดับจากเมืองรองเป็นเมืองหลัก ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีกับพี่น้องประชาชนชาวนครพนม ที่บริษัทใหญ่ระดับโลกสนใจที่จะมาลงทุนในจังหวัดนครพนม แต่อยากให้ภาคเอกชน ช่วยโปรโมทสินค้านครพนมให้เป็นที่รู้จัก และไปสู่ตลาดโลก และมองว่าการพัฒนาสินค้าถือเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ยังขาดเรื่องดีไซน์ อย่างผ้าไหม ที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ต้องการให้องค์กรต่างๆ นำความรู้เข้ามามาช่วย เพื่อให้ได้มาตรฐานโลกและนำไปขายในตลาดโลกได้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้การสนับสนุน แต่ว่าเราต้องช่วยกันเยอะกว่านี้

นายกรัฐมนตรี ยังระบุ เรื่องยุทธศาสตร์ถือว่ามีความสำคัญ เราไม่ได้มีเพียงจังหวัดนครพนม ยังมีจังหวัดหนองคาย มุกดาหาร ที่ต้องพัฒนาไปด้วยกัน และยังต้องพัฒนาศูนย์ขนถ่ายสินค้า เพราะหากมีการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น จะสามารถสร้างรายได้ได้อย่างมโหฬาร

จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการของดีประจำ 12 อำเภอ และชมการแสดงลำภูไท ศรีโคตรบูรณ์ และชมสินค้า OTOP จากอำเภอต่างๆ โดยเฉพาะผ้าฝ้ายย้อมคราม อ.นาหว้า ที่เป็นของขึ้นชื่อจังหวัดนครพนม และยังได้มีการจัดนิทรรศการของพระธาตุประสิทธิ์ ซึ่งเป็นพระธาตุประจำวันพฤหัสบดี เป็นวันเกิดของนายกรัฐมนตรีอีกด้วย

Advertisement

นายกฯ ตั้ง ‘ชาดา’ ที่ปรึกษา คกก.แก้หนี้สินภาคประชาชนรายย่อย “กิตติรัตน์” ย้ำเจ้าหนี้ไม่ต้องกลัวหนี้สูญ แต่ห้ามเก็บเกินอัตราดอกเบี้ย

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 15 กุมภาพันธ์ 2567 นายกฯ ลงนามตั้ง ‘ชาดา’ ที่ปรึกษา คกก.แก้ปัญหาหนี้สินภาคประชาชนรายย่อย เชื่อมการทำงาน คกก.แก้หนี้นอกระบบ ย้ำขอลูกหนี้มาลงทะเบียน ไม่ต้องกลัว-เกรงใจใคร ด้าน ‘กิตติรัตน์’ ย้ำเจ้าหนี้ไม่ต้องกลัวหนี้สูญ แต่ห้ามเก็บเกินอัตราดอกเบี้ย

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมกันแถลงถึงการเปิดรับลงทะเบียนประชาชนเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยเพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

โดย นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ตั้งแต่ 8 ก.พ. ที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามแต่งตั้ง นายชาดา เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการกำกับและแก้ไขหนี้สินภาคประชาชนรายย่อย ที่ตนเองทำหน้าที่เป็นประธานอยู่ ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานคณะกรรมการแก้ไขหนี้นอกระบบ ซึ่งตนทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอยู่

ดังนั้น การแต่งตั้ง นายชาดา ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะสามารถเชื่อมการทำงานของคณะกรรมการทั้ง 2 ชุดเข้าด้วยกัน ตรงตามเจตนาของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการแก้ไขปัญหาหนี้สินทุกประเภทให้เบ็ดเสร็จครบวงจร

นายกิตติรัตน์ ยังกล่าวว่า ปัจจุบันมีลูกหนี้จำนวนแสนกว่ารายที่ได้มาลงทะเบียนแล้ว แต่เชื่อว่ายังไม่ใช่จำนวนที่แท้จริง และน่าจะยังมีอีกมาก ลูกหนี้เหล่านี้ตั้งคำถามว่า ตนเองมาลงทะเบียนแต่เจ้าหนี้ไม่มาลงทะเบียน จะดำเนินการอย่างไร จึงต้องขอเรียนตามหลักกฎหมายว่า หนี้นอกระบบเป็นการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กำหนด ดอกเบี้ยทั้งหมดถือเป็นโมฆะตั้งแต่บาทแรก ไม่ใช่ตั้งแต่อัตราที่เกิน ดังนั้นหากเจ้าหนี้ไม่มาลงทะเบียน ขอให้ลูกหนี้หยุดจ่ายดอกเบี้ยทันที แต่ก็ต้องจ่ายเงินต้นให้ครบ

“เจ้าหนี้ซึ่งกังวลว่าลูกหนี้จะไม่ได้จ่ายคืนเงินต้น ขอให้มั่นใจว่าท่านจะได้รับการคุ้มครอง แต่เจ้าหนี้ก็ไม่มีสิทธิเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กำหนด” นายกิตติรัตน์ กล่าว

นายกิตติรัตน์ ยังระบุว่า ในกรณีที่ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยไปมากมายจนท่วมเงินต้นแล้ว ในหลักการถือว่าหมดหนี้แล้ว ดังนั้น จะมาตกลงทำความเข้าใจ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาในข้อกฎหมายกัน รวมถึงเจ้าหนี้หลายรายที่ปล่อยหนี้หลายๆคนพร้อมกัน หากไม่มาหารือกัน ก็มีความเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมายร้ายแรง เพราะจะเป็นขบวนการปล่อยหนี้เกินกว่ากำหนด

ด้าน นายชาดา ระบุว่า ปัญหาหนี้ทั้งนอกระบบและในระบบมีความเกี่ยวเนื่องกัน และขอให้สื่อมวลชนช่วยกันประกาศให้ผู้ที่เป็นหนี้นอกระบบมาลงทะเบียนรับการแก้ปัญหา ไม่ต้องกลัวและไม่ต้องเกรงใจใคร แม้แต่เจ้าหนี้ก็ไม่ควรไปห้ามลูกหนี้ให้มาขึ้นทะเบียนบัญชี เพราะรัฐบาลจะดูแลทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้อย่างยุติธรรม ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้ลูกหนี้ใช้หนี้ แต่ทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องยุติธรรม

นายชาดา ย้ำว่า ประชาชนซึ่งเป็นหนี้นอกระบบ ขอให้มาลงทะเบียนก่อนวันที่ 29 ก.พ.นี้ ที่ศูนย์ดำรงธรรมของทุกจังหวัด หรือแจ้งตามเว็บไซต์ ขอให้ไม่ต้องกลัวหรือเกรงใจใคร และเจ้าหนี้ก็ไม่ต้องกลัวหนี้สูญ เพราะรัฐบาลจะดำเนินการด้วยความเป็นธรรม และต้องการแก้ปัญหา

“กฎหมายให้โอกาสแล้ว ทางเราให้โอกาสแล้ว ก็ขอให้ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์กับท่าน เพราะพวกเราต้องการมาแก้ปัญหา” นายชาดา กล่าว

Advertisement

สมาคมธนาคารไทย ยืนยันไม่สามารถใช้เสียงในการยืนยันตัวตนเพื่อโอนเงินได้

พีเพิล ยูนิตี้ นิวส์ : 14 กุมภาพันธ์ 2567 TB-CERT ภายใต้สมาคมธนาคารไทย ยืนยันไม่สามารถใช้เสียงในการยืนยันตัวตนเพื่อโอนเงิน

ศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (TB-CERT) ภายใต้สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ขอชี้แจงกรณีที่มีข่าวการดูดเงินเพียงการโทรพูดคุย 2 นาที โดยไม่ต้องกดลิงก์ว่า ปัจจุบันธนาคารไม่มีการใช้เสียงในการยืนยันตัวตนเพื่อโอนเงิน ดังนั้นเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงและยังไม่พบเหตุการณ์ความเสียหายเกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก

ระบบของธนาคารมีการป้องกันและพัฒนาการพิสูจน์ยืนยันตัวตนอย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรการให้ยืนยันตัวตนผ่านการสแกนหน้า ควบคู่กับข้อมูลส่วนบุคคล และรวมถึงการกำหนดวงเงินในการทำธุรกรรม นอกจากนี้  TB-CERT ภายใต้สมาคมธนาคารไทย รวมถึงธนาคารสมาชิก ได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection) ของลูกค้าทุกคน พร้อมปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อความปลอดภัยในการใช้บริการธนาคาร และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและประชาชน

อย่างไรก็ดี ประชาชนต้องพึงระวัง

1.ไม่ดาวน์โหลด รวมถึงกดลิงก์ใด ๆ โดยเฉพาะจากบุคคลที่ไม่รู้จัก

2.ไม่สแกนหน้ากับโปรแกรมจากแหล่งอื่น ๆ นอกเหนือจากแหล่งที่ได้รับการควบคุมและรับรองความปลอดภัยจากผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการที่เป็น Official Store

3.เมื่อรู้ตัว หรือสงสัยว่ากำลังคุยกับมิจฉาชีพ ไม่แนะนำให้คุยต่อ เพราะอาจจะหลงเชื่อมิจฉาชีพ เนื่องจากมิจฉาชีพอาจจะมีข้อมูลจริงทำให้พูดคุยแล้วยิ่งหลงเชื่อ

4.หากสงสัย ให้โทรสอบถามที่เบอร์ทางการของหน่วยงานโดยตรง

หากลูกค้าธนาคารพบธุรกรรมผิดปกติเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว หรือมีข้อสงสัย ขอให้ติดต่อคอลเซ็นเตอร์ หรือสาขาของธนาคารที่ลูกค้าใช้งานทันที หรือ ติดต่อ ศูนย์ AOC สายด่วน 1441 เพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของการทำธุรกรรม โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

Advertisement

Verified by ExactMetrics