วันที่ 24 พฤศจิกายน 2024

ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง-ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI มาเลเซีย

People Unity News : 9 ตุลาคม 2566 กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ผลักดัน “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” และ “ข้าวหอมมะลิ ทุ่งกุลาร้องไห้” ขึ้นทะเบียน GI ในประเทศมาเลเซีย สร้างโอกาสส่งออกข้าวไทย สร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้ชาวนาไทย พร้อมหนุนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล เดินหน้าสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหารของโลก

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ของไทยให้เข้มแข็ง ซึ่งสินค้า GI เป็นหนึ่งในสินค้าที่มีอัตลักษณ์และมีศักยภาพแข่งขันในเวทีโลก กระทรวงพาณิชย์จึงมอบหมายให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งเดินหน้าส่งเสริมสินค้า GI ไทยในทุกมิติ โดยเฉพาะการยื่นขอรับความคุ้มครองในต่างประเทศ เพื่อขยายตลาดและเพิ่มมูลค่าสินค้า ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 สำนักงานทรัพย์สินทางปัญญามาเลเซีย (MyIPO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียน GI “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” และ “ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้” ในประเทศมาเลเซียเรียบร้อยแล้ว

ปัจจุบันมีสินค้า GI ไทยได้รับการขึ้นทะเบียนในต่างประเทศ รวม 8 รายการ ครอบคลุมกว่า 30 ประเทศ ได้แก่   1) ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ในสหภาพยุโรป จีน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย 2) ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ในสหภาพยุโรป มาเลเซีย และอินโดนีเซีย 3) กาแฟดอยช้าง ในสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น 4) กาแฟดอยตุง ในสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และกัมพูชา 5) เส้นไหมไทยพื้นบ้านอีสาน ในเวียดนาม 6) ผ้าไหมยกดอกลำพูน ในอินเดีย และอินโดนีเซีย 7) มะขามหวานเพชรบูรณ์ ในจีน และเวียดนาม และ 8) ลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูน ในเวียดนาม โดยยังมีส้มโอทับทิมสยามปากพนัง อีก 1 สินค้าที่มาเลเซียอยู่ระหว่างพิจารณา

ทั้งนี้ ชาวมาเลเซียบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก โดยนิยมรับประทานเมนูนาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) ซึ่งเป็นข้าวที่หุงกับกะทิและใบเตย รับประทานคู่กับแกงและเครื่องเคียงต่างๆ มาเลเซียจึงนำเข้าข้าวจากต่างประเทศกว่าร้อยละ 30 ตามความต้องการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งข้าวไทยได้รับความนิยมในประเทศมาเลเซีย โดยในปี 2565 ไทยส่งออกข้าวไปประเทศมาเลเซีย มูลค่ากว่า 3,200 ล้านบาท

“ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้” ปลูกในฤดูนาปีบนพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยสภาพพื้นที่เป็นแอ่งกระทะขนาดใหญ่ ดินเป็นดินร่วนปนทรายมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ความแห้งแล้ง และความเค็มในดิน ส่งผลให้ข้าวเกิดความเครียดและหลั่งสารหอม ข้าวจึงมีความหอมตามธรรมชาติมากกว่าข้าวจากแหล่งอื่น โดยมีเมล็ดข้าวยาว เรียว ข้าวสารมีเมล็ดใสและแกร่งเมื่อหุงสุกจะหอมและนุ่ม มีผลผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ รวม 5 จังหวัดกว่า 24,500 ตัน/ปี ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 55 บาท สร้างรายได้กว่า 266 ล้านบาท/ปี

สำหรับ “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” ปลูกในจังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นที่ราบกว้าง เหมาะสำหรับปลูกข้าว มีแหล่งน้ำจากทะเลสาบสงขลาหนุน และมีการทับถมของตะกอน ทำให้ข้าวสังข์หยดมีคุณภาพดี เมล็ดข้าวเรียวเล็ก อ่อนนุ่มข้าวกล้องมีสีแดงจนถึงแดงเข้ม ข้าวสารมีสีขาวปนแดงแกมชมพูเป็นเอกลักษณ์ มีผลผลิตข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง 8,000 ตัน/ปี สร้างรายได้กว่า 104 ล้านบาท/ปี กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยังคงเดินหน้าส่งเสริมสินค้า GI ไทยขึ้นทะเบียน GI ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ GI  สร้างรายได้ให้กับชุมชนและรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป

Advertisement

ไฟฟ้านครหลวง-ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ประสานเสียง ลดค่า Ft ตามนโยบายรัฐบาล

People Unity News : 8 ตุลาคม 2566 PEA-MEA ย้ำคืนเงิน ก.ย. หลังลดค่า Ft รอบ 3/66 (ก.ย.-ธ.ค.) ราว 46 สต./หน่วย ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน

การไฟฟ้านครหลวง (MEA)​ แจ้งว่า จากการประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ครั้งที่ 45/2566 วันที่ 5 ตุลาคม 2566 มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเรียกเก็บในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 ตามที่ผู้รับใบอนุญาตซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเสนอมาในอัตรา 20.48 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมทั้งประเทศอยู่ที่ประมาณ 3.99 บาท/หน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ทั้งนี้ ผู้ใช้ไฟฟ้าที่จ่ายค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกันยายน 2566 ไปแล้ว จะได้รับการหักส่วนลดค่าไฟฟ้าดังกล่าวในรอบบิลเดือนตุลาคมนี้ต่อไป

ด้านการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) บรรเทาภาระค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชน ตามมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เห็นชอบปรับลดค่า Ft ในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 จาก 0.6689 บาท/หน่วย เป็น 0.2048 บาท/หน่วย ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายน 2566 ที่แสดงค่า Ft เดิม (0.6689 บาท/หน่วย) PEA มีมาตรการดำเนินการ ดังนี้

กรณีที่ยังไม่ได้ชำระค่าไฟฟ้า

PEA จะปรับยอดชำระด้วยค่า Ft ใหม่ โดยสามารถใช้ใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดิมชำระเงินผ่านทางช่องทางต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

กรณีที่ได้ชำระค่าไฟฟ้าด้วยค่า Ft เดิมไปแล้ว

PEA จะคืนเงินส่วนต่างค่า Ft โดยนำไปหักลดจากค่าไฟฟ้าประจำเดือนถัดไป

กรณีหักบัญชีธนาคาร/บัตรเครดิต

PEA จะหักเงินค่าไฟฟ้าด้วยค่า Ft 0.2048 บาท/หน่วย เฉพาะรอบวันที่ 19 ตุลาคม 2566 สำหรับรอบอื่นๆ PEA จะคืนเงินส่วนต่างค่า Ft โดยนำไปหักลดค่าไฟฟ้าเดือนถัดไป

สามารถตรวจสอบยอดค่าไฟฟ้าผ่านทาง www.pea.co.th / PEA Smart Plus / 1129 PEA Contact Center / สำนักงานการไฟฟ้าในพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ถือบัตรสวัสดิการของรัฐและลงทะเบียนลดค่าไฟกับ PEA- MEAก่อนหน้านี้ จะได้ส่วนลดค่าไฟฟ้า จำนวน 315 บาท/ครัวเรือน/เดือน แยกเป็น

ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วย/เดือน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน จะได้รับสิทธิค่าไฟฟ้าฟรีตามมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วย/เดือน แต่ไม่เกิน 315 บาท จะได้รับการสนับสนุนค่าไฟฟ้าในวงเงินไม่เกิน 315 บาท/ครัวเรือน/เดือน

สำหรับการลดค่าไฟฟ้ารอบนี้ได้ประโยชน์ทุกกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าของประเทศไทย โดยในส่วนกลุ่มใช้ไฟฟ้าบ้านของไทยนั้น โครงสร้างครัวเรือนที่อยู่อาศัย ประกอบไปด้วย กลุ่มเปราะบาง 0-150 หน่วย/เดือน 14.7 ล้านครัวเรือน, กลุ่มใช้ 151-300 หน่วย/เดือน จำนวน 4.9 ล้านครัวเรือน และกลุ่มที่ใช้ตั้งแต่ 301-500 หน่วย จำนวน 2.1 ล้านครัวเรือน

Advertisement

กระทรวงการคลังจับมือกองทัพบก บริหารจัดการที่ราชพัสดุในความดูแลของกองทัพบก

People Unity News : 7 ตุลาคม 2566 กระทรวงการคลังโดยกรมธนารักษ์ จับมือกองทัพบก บริหารจัดการที่ราชพัสดุในความครอบครองดูแลใช้ประโยชน์ของกองทัพบก สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล

กระทรวงการคลังโดยกรมธนารักษ์ และกองทัพบก เดินหน้านำที่ราชพัสดุในความครอบครองดูแลใช้ประโยชน์ของกองทัพบก สนับสนุนนโยบายของกระทรวงกลาโหม โดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบหมายให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ขับเคลื่อนภารกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่และสังคม โดยมีโครงการนำร่องที่จังหวัดอุดรธานี

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้นำคณะผู้บริหารกรมธนารักษ์เข้าร่วมประชุมหารือกับกองทัพบก โดยมี พลเอก สุขสรรค์ หนองบัวล่าง รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะนายทหารเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ สาระสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างสองหน่วยงานดังกล่าว เป็นไปเพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในการบริหารจัดการที่ราชพัสดุที่อยู่ในความครอบครองดูแลใช้ประโยชน์ของกองทัพบก มาดำเนินการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน โดยกำหนดพื้นที่แยกออกเป็นแต่ละประเภทพื้นที่ (Zoning) เพื่อศึกษาแนวทางความเป็นไปได้ในการกำหนดขอบเขต หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการใช้ประโยชน์จากที่ดินให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งกรมธนารักษ์ และกองทัพบกได้ดำเนินการวางแผนให้เป็นภาพรวม โดยพิจารณาถึงศักยภาพของที่ดินทั้งประโยชน์ในทางตรงและทางอ้อม รวมถึงกำหนดทิศทางความเหมาะสมที่จะนำพื้นที่ดังกล่าว ไปใช้ประโยชน์ในอนาคตอีกด้วย ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้ ได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายเบื้องต้นที่พร้อมต่อการดำเนินโครงการ ณ สนามฝึกยิงปืนใหญ่ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2566 ก่อนจะขยายการดำเนินโครงการในพื้นที่อื่นต่อไป

นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การบริหารของหน่วยงานภาครัฐต่างก็เป็นไปเพื่อสร้างประโยชน์ต่อสังคมและประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดี ที่กองทัพบกได้เปิดโอกาสให้กรมธนารักษ์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ กรมธนารักษ์ยินดีที่จะมีส่วนช่วยในการลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน นอกจากนี้ เมื่อรัฐจัดสรรที่ดิน และรับรองสิทธิการใช้ที่ดินของราชการให้แก่ประชาชนแล้ว ประชาชนจะสามารถใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัย เพื่อการเกษตร หรือประกอบกิจการต่างๆ ในที่ดินของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็จะเป็นส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐได้อีกทางหนึ่งด้วย

Advertisement

เฮ! ลดค่าไฟ งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.66 เหลือ 3.99 บาท

People Unity News : 6 ตุลาคม 2566 บอร์ด กกพ.เห็นชอบลดค่าไฟฟ้าเอฟทีงวด ก.ย.-ธ.ค.66 ลงเหลือ 20.48 สต./หน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวม 3.99 บาท/หน่วย โดยการงดจ่ายค่าหนี้ กฟผ.และชะลอจ่ายค่าก๊าซ ปตท. 9 พันล้านบาท ย้ำผู้จ่ายค่าไฟบิล ก.ย.ไปแล้ว จะได้รับการหักส่วนลดคืนรอบบิล ต.ค.

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566 มีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่ประกาศเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้ารอบเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ในอัตรา 4.45 บาทต่อหน่วย ลงเหลือในอัตรา 3.99 บาทต่อหน่วย โดยให้กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง รอบคอบ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติ ครม. ที่เกี่ยวข้องแล้วนั้น

ในการประชุม กกพ. ครั้งที่ 45/2566 (ครั้งที่ 873) วันที่ 5 ตุลาคม 2566 มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเรียกเก็บในงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ตามที่ผู้รับใบอนุญาตซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเสนอมาในอัตรา 20.48 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามมติ ครม. (จากเดิม กกพ.มีมติเรียกเก็บเอฟที่ 66.89 สตางค์/หน่วย และเมื่อรวมค่าไฟฐานทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 4.45 บาท/หน่วย)

ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. อยู่ระหว่างดำเนินการส่งหนังสือแจ้งการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (กฟผ. กฟน. และ กฟภ.) เพื่อประกาศค่าเอฟทีค่าใหม่ในรอบเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 โดยผู้ใช้ไฟฟ้าที่จ่ายค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกันยายน 2566 ไปแล้ว จะได้รับการหักส่วนลดค่าไฟฟ้าดังกล่าวในรอบบิลเดือนตุลาคมนี้ต่อไป

Advertisement

“เศรษฐา” ปลื้มนักท่องเที่ยวจีนตอบรับวีซ่าฟรี

People Unity News : 30 กันยายน 2566 นายกฯ ปลื้มนักท่องเที่ยวจีนตอบรับวีซ่าฟรี แห่จองมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น 20 เท่า เผยประเทศไทยยินดีต้อนรับพี่น้องชาวจีนทุกคน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @Thavisin ว่าอ่านรายงานของ CNN ล่าสุดเรื่องที่พี่น้องชาวจีนตอบรับนโยบายฟรีวีซ่าชั่วคราวของรัฐบาลไทยแล้ว รู้สึกดีใจแทนพี่ประชาชนและผู้ประกอบการไทยเป็นอย่างยิ่งเพราะชาวจีนตัดสินใจมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ให้บริการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของจีน (CTrip) รายงานว่ามียอดจองทริปมาไทย สูงกว่าเทศกาลวันชาติจีนปีที่แล้วถึง 20 เท่า และยอดจองโรงแรมในไทยมากขึ้นถึง 6,220% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ประเทศไทยยินดีมากที่ได้ต้อนรับพี่น้องชาวจีนทุกคนครับ ประเทศเรามีทะเลที่สวยงาม อาหารไทยที่หลายหลาก หวังว่าทุกท่านจะท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยและประทับใจ

Advertisement

ธอส. ประกาศตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นปี 66 ช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบ้านปรับตัวรับดอกเบี้ยขาขึ้น

People Unity News : 29 กันยายน 2566 ธอส. ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ถึงสิ้นปี 2566 ช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบ้าน

นายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการธนาคาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี หรือจาก 2.25% ต่อปี เป็น 2.50% ต่อปี ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” พร้อมตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ในระดับปัจจุบันต่อไปจนถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการชำระเงินงวดตามนโยบายรัฐบาลให้กับลูกค้าเงินกู้ในปัจจุบันของธนาคารที่มีอยู่จำนวน 1.79 ล้านบัญชี คิดเป็นวงเงินสินเชื่อคงค้างมากกว่า 1.66 ล้านล้านบาท และได้มีเวลาในการปรับตัวรับกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น

Advertisement

ลดค่าไฟ เหลือ 3.99 บาท/หน่วย เริ่มรอบบิล ก.ย.นี้

People Unity News : 18 กันยายน 2566 ที่ประชุม ครม.รับทราบ รมว.พลังงาน หารือ กกพ. ลดค่าไฟฟ้า จาก 4.10 บาทต่อหน่วย เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย เริ่มบิล ก.ย.นี้

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่าที่ประชุม ครม.รับทราบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน หารือคณะกรรมการ กกพ. ลดค่าไฟฟ้า จาก 4.10 บาทต่อหน่วยเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย มีผลเริ่มบิลค่าไฟฟ้า ก.ย.66 นี้ เพื่อช่วยลดภาระประชาชน ช่วยลดต้นทุนภาคเอกชน โดยนายกรัฐมนตรี กำชับดำเนินการให้อยู่ในกรอบกฎหมาย

Advertisement

สมุนไพรไทยเป็น Soft Power เล็งต่อยอดใช้กับอาหารกลุ่มคนรักสุขภาพ

People Unity News : 15 กันยายน 2566 กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเดินหน้าผลักดัน “สมุนไพรไทย” เป็น Soft Power เล็งต่อยอดใช้กับอาหารตอบสนองกลุ่มคนรักสุขภาพ สร้างเรื่องราวให้กับผลิตภัณฑ์กลุ่มเวชสำอาง อาหารเสริม สินค้าอุปโภคบริโภค และช่วยขยายช่องทางการตลาดทุกรูปแบบ เผยล่าสุดนำขายในงาน THAIFEX ทำยอดขายกว่า 200 ล้านบาท

นางรวีพรรณ ช้างเย็นฉ่ำ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมมีแผนที่จะส่งเสริมการตลาดสินค้า “สมุนไพรไทย” อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน มีคณะกรรมการนโยบายและสมุนไพรแห่งชาติ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมภาพลักษณ์และการตลาดสมุนไพร มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน มีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นฝ่ายเลขานุการ ทำหน้าที่ส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั้งในและต่างประเทศ และกำหนดช่องทางการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็น Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอีกรายการหนึ่ง

สำหรับการขับเคลื่อนสมุนไพรไทย ได้มีการกำหนดมาตรการผลักดันสมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ประเทศด้านอาหารและวัฒนธรรมไทย โดยบูรณาการประเด็นสมุนไพรร่วมกับอาหาร วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ผลักดันคุณค่าของสมุนไพรไทยร่วมกับอาหารไทย ตอบรับกระแสนิยมด้านรักสุขภาพ นำเสนอเมนูอาหารที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรไทย ชูสรรพคุณที่มีคุณประโยชน์เจาะกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะด้าน เช่น เพิ่มภูมิคุ้มกัน Plant-based และผู้สูงอายุ

ส่วนด้านการตลาด จะมีการศึกษาความต้องการของตลาด กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมการใช้การตลาดออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ สร้างเรื่องเล่าดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค เน้นขยายตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรกลุ่มเวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชนกลุ่มสมุนไพร รวมทั้งสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์สมุนไพร

นอกจากนี้ จะเร่งการพัฒนาตราสัญลักษณ์คุณภาพสมุนไพรที่เป็นที่ยอมรับ โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการสมุนไพรเพื่อมอบรางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ ซึ่งสัญลักษณ์ของรางวัลมีแนวคิดการออกแบบมาจากรูปแบบของไผ่ที่สานเป็นรูปดวงดาวของเฉลว และกราฟิกรูปหัวใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพร

ทั้งนี้ ในส่วนของกรม จะเดินหน้ายกระดับศักยภาพด้านการตลาดของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สะท้อนคุณค่า และความน่าเชื่อถือผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งขยายโอกาสทางการค้าให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ในการกำหนดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการเป็นตลาดสมุนไพรของอาเซียน

ทางด้านผลการทำงาน ในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้สร้างภาพลักษณ์และการรับรู้คุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยโดยสร้างเรื่องเล่าให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 22 ผลิตภัณฑ์ เน้นผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุดิบมาจาก Herbal Champion ได้แก่ ขมิ้นชัน กระชายดำ และบัวบก พร้อมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านออนไลน์และเครือข่ายพันธมิตร และนำผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีศักยภาพขยายตลาดเชิงรุกเข้าสู่กลุ่มผู้บริโภคโดยตรงผ่านงานแสดงสินค้าต่าง ๆและการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้จัดจำหน่าย สามารถสร้างมูลค่าการค้าได้มากกว่า 15 ล้านบาท โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ยาดม น้ำมันหอมระเหย และเครื่องสำอาง สมุนไพรจากน้ำนมข้าว และในปี 2566 ได้นำผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน THAIFEX – Anuga Asia 2023 เมื่อเดือน พ.ค.2566 จำนวน 42 ราย สามารถสร้างมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 203.31 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ได้รับความนิยม 5 อันดับ ได้แก่ ขมิ้นชันผง น้ำมะขามป้อม ขนมจากขิง เครื่องดื่มจากจมูกข้าว และเครื่องแกง ตามลำดับ

Advertisement

ภาคท่องเที่ยวชื่นชมเป็นรัฐบาลแรกออกมาตรการฟรีวีซ่า

People Unity News : 13 กันยายน 2566 ภาคท่องเที่ยวเอกชนเฮ มาตรการฟรีวีซ่า โดยเฉพาะตลาดจีน อย่างสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว ชื่นชมเป็นรัฐบาลแรกที่ออกมาตรการฟรีวีซ่าให้จีน คิดเร็ว ทำเร็ว เชื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเพิ่มกว่า 20%

นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยมาตรการฟรีวีซ่าสำหรับจีน ระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นการยกเว้นชั่วคราว เพราะถือว่าเป็นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ดีมาก และถือเป็นรัฐบาลแรกที่ทำนโยบายนี้ เพราะที่ผ่านมาเคยมีแต่งดค่าธรรมเนียมวีซ่า แต่วีซ่ายังต้องทำอยู่ แต่รัฐบาลนี้ไม่ต้องทำวีซ่า เพียงใช้พาสปอร์ต ถือว่านายกรัฐมนตรีคิดเร็ว ทำเร็ว ล่าสุดผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่จีนสอบถามเข้ามาเยอะ เชื่อว่าจะได้นักท่องเที่ยวคุณภาพเข้ามามากขึ้น น่าจะมีลุ้นให้นักท่องเที่ยวจีนถึงเป้า 5 ล้านคนในปีนี้ ตอนนี้จีนเข้ามาราว 3 แสนคน/เดือน เชื่อว่ามาตรการฟรีวีซ่าชั่วคราว น่าจะดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเพิ่มได้ถึง 20% และจะได้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ตัดสินใจด่วนๆ อยากมาเที่ยวไทยเข้ามาได้เลย และเป็นกลุ่มที่มีกำลังจ่ายสูง รวมทั้งได้กรุ๊ปทัวร์คุณภาพเข้ามามากขึ้นด้วย พร้อมมองว่า การออกมาตรการฟรีวีซ่า เป็นการกระตุ้นอย่างดีกับตลาดจีน เพราะทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกว่าประเทศไทยให้เกียรติ เพราะคนจีนถือเรื่องนี้เป็นสำคัญ ปัจจุบันตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทย จำนวน 2,284,281 คน และเดินทางเข้าไทยเป็นอันดับ 2

ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องข่าวลบ เพราะกระแสโซเชียลจีน หรือติ๊กต็อกจีนตอนนี้ ค่อนข้างเป็นไปในทิศทางลบว่ามาเมืองไทยไม่ปลอดภัยหลายๆ ด้าน เช่น หากมาไทยอาจจะเจอลักพาตัว ถูกขโมยไตไปขาย เจอหลอกลวงมากมาย ซึ่งการแก้ข่าวเร็วที่สุด คือ นายกรัฐมนตรีต้องเดินทางเยือนจีน เพื่อสร้างสัมพันธไมตรี และไปชี้แจงด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เชิญอินฟลูเอนเซอร์ของจีนมาเที่ยวไทย และกลับไปสร้างภาพลักษณ์ที่ดีว่า เมืองไทยไม่ได้น่ากลัวอย่างที่มีข่าวลือ การแก้ปัญหาข่าวลบของไทยทางโซเชียลจีน คือหัวใจสำคัญ เพราะคนจีนดูเยอะและเข้าใจผิด

นอกจากนี้ มองว่า การที่รัฐบาลให้ฟรีวีซ่ากับคาซัคสถานด้วย ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะนักท่องเที่ยวคาซัคสถานเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง พักโรงแรมระดับ 4 ดาว ถึง 5 ดาว การให้ฟรีวีซ่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ที่สำคัญสร้างความรู้สึกที่ดี เพราะคาซัคสถานติดกับรัสเซีย และรัสเซียก็ได้ฟรีวีซ่าเข้าไทย

Advertisement

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมรับนโยบายรัฐบาล ลดค่าไฟ 

People Unity News : 8 กันยายน 2566 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมรับนโยบายรัฐ ลดค่าไฟ-รับนักท่องเที่ยว

นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบ 63 ปี สถาปนาการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วันที่ 28 กันยายน 2566 PEA เดินหน้า ตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจทั้งด้านคุณภาพและบริการ ตอบสนองวิสัยทัศน์ “ไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” (SMART ENERGY FOR BETTER LIFE AND SUSTAINABILITY) บริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพด้วยระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการเป็นระบบดิจิทัลรองรับพลังงานสะอาด พลังงานแห่งอนาคตสู่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า ขับเคลื่อนการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า สร้างสังคมสีเขียวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

“ตลอด 63 ปี PEA ดำเนินการตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าของประชาชน 74 จังหวัด ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้า 21 ล้านครัวเรือนให้มีไฟฟ้าใช้เพียงพอ แก้ไขปัญหาไฟตก-ไฟดับอย่างรวดเร็ว และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อบริการให้ทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น อีวี และพร้อมสนองตอบแนวโนโยบายของรัฐบาลหากชัดเจนเรื่องลดค่าไฟฟ้า ก็สามารถจัดทำบิลได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการพัฒนาระบบไฟฟ้า ให้มั่นคงเพียงพอ รองรับนักท่องเที่ยวที่รัฐบาลมีแผนส่งเสริมอย่างเต็มที่” นายศุภชัยกล่าว

สำหรับการขับเคลื่อนไฟฟ้าอัจริยะ วางไว้ด้วยแนวทาง 3 SMART ได้แก่ SMART ENERGY, SMART ENVIRONMENT, SMART MOBILITY ในการขับเคลื่อนไปสู่ DIGITAL GRID & GREEN ENERGY

1.SMART ENERGY PEA มุ่งเน้นให้เกิดนวัตกรรมด้านพลังงานใหม่และส่งเสริมการพัฒนาด้านพลังงาน รวมทั้งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมากยิ่งขึ้น เพื่อมุ่งสู่พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์

SMART GRID : ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ นำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับระบบไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบไฟฟ้า โดยประเทศไทยวางแผนระยะยาว 20 ปี ตั้งแต่ปี 2558 – 2579 ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารมาบริหารจัดการควบคุม การผลิต ส่ง และจ่ายพลังงานไฟฟ้า รองรับการเชื่อมต่อระบบผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทางเลือกที่กระจายอยู่ทั่วไปมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งให้บริการกับผู้เชื่อมต่อกับโครงข่ายผ่านมิเตอร์อัจฉริยะ (AMI : ADVANCE METERING INFRASTRUCTURE) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นคง ปลอดภัย เชื่อถือได้ มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล

มิเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ : PEA ดำเนินการสับเปลี่ยนทดแทนมิเตอร์จานหมุนให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ จำนวนกว่า 19 ล้านราย ทั่วประเทศ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งมิเตอร์อิเล็กทรอนิกส์สามารถจดหน่วยในระยะไกลด้วยระบบ Bluetooth รูปลักษณ์ที่ทันสมัย หน้าจอแสดงผลแบบดิจิทัลอ่านค่าง่าย ชัดเจน แม่นยำ เก็บประวัติการใช้ไฟฟ้าได้ รองรับการซื้อขายไฟฟ้าในอนาคต

PEA SOLAR : ส่งเสริมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลดค่าไฟฟ้า ติดตั้งบนหลังคา (SOLAR ROOFTOP) มีขั้นตอนที่สะดวก รวดเร็ว ครบวงจร มีผู้เชี่ยวชาญด้านระบบไฟฟ้า มีสำนักงาน PEA ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมให้คำแนะนำทุกขั้นตอน

PEA WISE ENERGY : ระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ประกอบด้วย ไฮบริดอินเวอร์เตอร์ และลิเธี่ยมแบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแปลงพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากแผงโซล่าเซลล์มาใช้เป็นไฟฟ้าภายในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง

PEA VOLTA : อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้อีวีตามแนวคิด “ครอบคลุมทั่วไทย ชาร์จมั่นใจทุกเส้นทาง” ในปี 2566 จะมีสถานี 413 สถานี ครบ 75 จังหวัดทั่วประเทศ และเปิดบริการเครื่องอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าพิกัดสูง (EV SUPER CHARGE) ขนาด 360 kW ซึ่งเป็นเครื่องอัดประจุพิกัดสูงที่สุดในประเทศไทย (SUPER CHARGE) และให้บริการ Network Operator กรณีที่ผู้ประกอบการลงทุนในเครื่องอัดประจุ สามารถนำเครื่องอัดประจุดังกล่าวมาให้บริการผ่าน Platform PEA Volta รวมถึง การ Roaming ระหว่างเครือข่าย

DC Wallcharge : เครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสตรงขนาด 25 kW เชื่อมต่อกับระบบบริหารจัดการ PEA VOLTA Platform เพื่อให้บริการอัดประจุไฟฟ้าให้กับยานยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบการใช้งานในครัวเรือน ทำให้ประชาชนเป็นเจ้าของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น มุ่งสู่การให้บริการกลุ่มลูกค้าใหม่หรือธุรกิจใหม่ โดยติดตั้งในพื้นที่สาธารณะ เช่น ส่วนกลางของหมู่บ้าน พื้นที่จอดรถในห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม หรืออาคารธุรกิจขนาดเล็ก เตรียมความพร้อมให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าข้ามโครงข่าย (EV ROAMING) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใช้งานแอปพลิเคชัน

2.SMART ENVIRONMENT

PEA ให้ความสำคัญในการดำเนินการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ควบคู่ไปกับการพัฒนาและส่งเสริมโครงการที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคมและชุมชน โดยมีการให้บริการใน 2 รูปแบบคือ ESCO MODEL : การบริหารจัดการด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ PEA เป็นผู้ลงทุน เพื่อช่วยลดต้นทุนพลังงานส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงานในหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล รวมทั้งภาคเอกชนต่างๆ ทั่วประเทศ

EPC MODEL (Engineering Procurement and Construction) : การให้บริการติดตั้งโซลาร์เซลล์แบบเบ็ดเสร็จ ทั้งด้านการออกแบบทางวิศวกรรม การติดตั้งโครงสร้างระบบโซลาร์เซลล์ ซึ่งเจ้าของพื้นที่ลงทุนเอง ด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และอำนวยความสะดวกโดยร่วมกับพันธมิตรธนาคารจำนวน 6 แห่ง เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยพิเศษให้กับเจ้าของพื้นที่

3.SMART MOBILITY

PEA พัฒนาช่องทางดิจิทัลสำหรับบริการลูกค้าผ่านช่องทาง PEA Smart Plus และ PEA e-Service ตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป มุ่งเน้นให้บริการที่มีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย สะดวก ง่ายต่อการใช้งาน ได้แก่ PEA Smart Plus บริการครบจบใน APP เดียว อาทิ ชำระค่าไฟฟ้า ประวัติการใช้ไฟฟ้าย้อนหลัง แจ้งไฟฟ้าขัดข้อง ขอใช้ไฟฟ้า คำนวณค่าไฟฟ้า ตั้งค่าแจ้งเตือนค่าไฟฟ้า ตรวจสอบค่าไฟฟ้า เพิ่มการให้บริการรับชำระเงินผ่าน Application เช่น ค่าเช่าหม้อแปลง ค่าขยายเขต ค่าพาดสายสื่อสาร ค่าตรวจสอบและบำรุงรักษาหม้อแปลง เป็นต้น

PEA e-Service อำนวยความสะดวกในการให้บริการผ่านเว็บไซต์ www.pea.co.th อาทิ ขอรับใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ชำระค่าไฟฟ้า ขอใช้ไฟฟ้า สอบถามประวัติการใช้ไฟฟ้า

PEA พร้อมขับเคลื่อนสู่องค์กรไฟฟ้าอัจฉริยะ พัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นให้บริการพลังงานไฟฟ้าและธุรกิจเกี่ยวเนื่องครบวงจรและมีประสิทธิภาพ มั่นคง ปลอดภัย เชื่อถือได้ สร้างสังคมสีเขียวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

Advertisement

Verified by ExactMetrics