วันที่ 25 พฤศจิกายน 2024

ก.เกษตร แจกต้นกล้ากระท่อมพันธุ์ดีแก่เกษตรกร มุ่งเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกในอนาคต

People Unity News : 18 เม.ย. 65 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและขยายกระท่อมพันธุ์ดี โดยนำเมล็ดที่ปลอดเชื้อมาเพาะเลี้ยงด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพื่อเพาะพันธุ์กระท่อมพันธุ์ดีไว้ใช้เป็นสมุนไพรในครัวเรือน และนำไปพัฒนาอาชีพเป็นพืชทางเลือกในอนาคต ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ปี 60 – 64 เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การผลิตพืชเชิงพาณิชย์หรือเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือก

โครงการนี้ได้ดำเนินการผลิตต้นกล้ากระท่อมพันธุ์ดี รวมกว่า 210,000 ต้น แจกจ่ายให้กับเกษตรกรและประชาชนที่สนใจ อาทิ สมาชิกศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จำนวน 30 รายต่อศูนย์ รวม 882 ศูนย์ทั่วประเทศ สมาชิกวิสาหกิจชุมชน/Young Smart Farmer/ Smart Farmer/อาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน หน่วยงานราชการที่มีภารกิจในการส่งเสริมอาชีพการเกษตร และประชาชนทั่วไป

ผู้สนใจสามารถติดต่อขอรับต้นกล้ากระท่อมพันธุ์ดีรายละ 3 ต้น ได้ที่จุดบริการพืชพันธุ์ Doae ศูนย์ขยายพันธุ์พืช 10 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 1 จังหวัดชลบุรี/ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 2 จังหวัดตรัง/ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 3 จังหวัดนครราชสีมา/ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 4 จังหวัดนครศรีธรรมราช/ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 5 จังหวัดบุรีรัมย์/ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 6 จังหวัดพิษณุโลก/ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 7 จังหวัดมหาสารคาม/ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 8 จังหวัดลำพูน ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 9 จังหวัดสุพรรณบุรี และศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 10 จังหวัดอุดรธานี

Advertisement

เปิดค่าใช้จ่ายไปทำงานซาอุฯ จัดส่งโดยรัฐ คนละ 32,800 บาท

People Unity News : 14 เม.ย. 65 คืบหน้า! รัฐบาลเตรียมส่ง “แรงงานไทยกลุ่มแรก” ไปทำงานซาอุดีฯ ภายใน 3 เดือน หลังลงนาม MOU ผู้สนใจไปทำงานต่างประเทศ โทร.สายด่วน 1506 กด 2

สืบเนื่องจากรัฐบาลไทยโดยกระทรวงแรงงาน กับกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมแห่งซาอุดีอาระเบีย ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ จำนวน 2 ฉบับ ประกอบด้วย 1.ข้อตกลงว่าด้วยการจัดหาแรงงาน และ 2.ข้อตกลงว่าด้วยการจัดหาแรงงานทำงานบ้าน เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมานั้น

ล่าสุด มีข่าวดี นายจ้างซาอุดีฯ ได้แจ้งความต้องการตำแหน่งงาน, เงื่อนไขการจ้างงานและคุณสมบัติของแรงงาน มายังกระทรวงแรงงานแล้ว โดยกรมการจัดหางานจะคัดเลือกคนหางานจากศูนย์ทะเบียนคนหางาน ที่ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไว้เป็นลำดับแรก

หากคนหางานในศูนย์ทะเบียนฯ ไม่เพียงพอ หรือไม่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของนายจ้าง จะดำเนินการประกาศรับสมัครต่อไป และจะเร่งส่ง “แรงงานกลุ่มแรก” ภายใน 3 เดือนหลังลงนาม MOU

ทั้งนี้ กรมการจัดหางานได้แจงค่าใช้จ่ายการเดินทางไปทำงาน กรณีจัดส่งโดยรัฐ ประมาณ 32,800 บาท ดังนี้

✅ค่าบัตรโดยสารเครื่องบินไปซาอุดีอาระเบีย ประมาณ 20,000 บาท

✅ค่าธรรมเนียมการยื่นขอวีซ่าแบบเข้าออกครั้งเดียว 6,000 บาท

✅ค่าหนังสือเดินทาง 1,500 บาท

✅ค่าตรวจสุขภาพ 2,300 บาท

✅ค่าตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประมาณ 1,000 บาท

✅ค่าประกันสุขภาพโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประมาณ 1,000 บาท

✅ค่าทดสอบฝีมือแรงงาน 500 บาท

✅ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม 100 บาท

✅ค่าสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ 400 บาท

ผู้ที่สนใจไปทำงานต่างประเทศ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1506 กด 2 หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ toea.doe.go.th (ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไปทำงานต่างประเทศ)

Advertisement

การรถไฟฯ เปิดเดินขบวนรถไฟวิถีใหม่ New Normal ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ

People Unity News : 9 เมษายน 2565 นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา การรถไฟฯ ให้ความสำคัญต่อ การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดขบวนรถไฟ ทั้งขบวนรถปกติ และขบวนรถพิเศษนำเที่ยว พาผู้โดยสารเดินทาง ไปสัมผัสเส้นทางท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่างๆ อาทิ ขบวนรถพิเศษนำเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ Unseen Thailand เส้นทางท่องเที่ยวรถไฟลอยน้ำ ขบวนรถไฟนำเที่ยว “ม่วนแต้ๆ แอ่ว แม่เมาะ By SRT x EGAT เส้นทางกรุงเทพ ลำปาง” และ ขบวนรถปฐมฤกษ์ เส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ 3 จังหวัด เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง (Lanna Modernization) เพื่อส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวทางรถไฟ 3 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เป็นต้น

ล่าสุดการรถไฟฯ ได้บูรณาการความร่วมมือกับ 4 หน่วยงานทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวทางรถไฟอย่างปลอดภัย วิถีใหม่ แบบ New Normal ภายใต้แนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุข คาดหวังว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้โดยสาร ในการเลือกใช้บริการรถไฟในการเดินทางท่องเที่ยวที่มีความปลอดภัย ซึ่งได้มีการนำแนวปฏิบัติทางด้านสาธารณสุขเพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 มาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เช่น การให้ผู้ใช้บริการทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม และสามารถแสดงหลักฐานผ่าน Digital Health Pass บน หมอพร้อม แอพพลิเคชั่น หรือแสดงผลตรวจ ATK ไม่เกิน 72 ชั่วโมงต่อเจ้าหน้าที่ก่อนการเดินทาง

นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าระวัง โดยตั้งจุดคัดกรองวัดไข้ผู้โดยสารก่อนเข้าสถานี การตั้งจุดบริการแอลกอฮอล์ล้างมือ การให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง การรักษาระยะห่าง Social Distancing พร้อมให้สแกนแอปพลิเคชัน ไทยชนะ ก่อนและหลังใช้บริการ ตลอดจนเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาด ฉีดพ่นแอลกอฮอล์ในขบวนรถโดยสารทุกครั้งหลังบริการ ตลอดจนฉีดพ่นบริเวณจุดสัมผัสพื้นที่ในสถานีรถไฟเป็นประจำ เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัย ต่อผู้โดยสารตลอดการเดินทาง

Advertisement

บีโอไออนุมัติปรับปรุงสิทธิประโยชน์ส่งเสริมลงทุนสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

People Unity News : ประยุทธ์ ประชุมบอร์ดบีโอไอ เตรียมพร้อม “สถานีอัดประจุไฟฟ้า” รองรับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต เปิดโอกาส Startup ร่วมลงทุน

วันนี้ 7 เมษายน 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/65 ผ่านระบบ Video Conference ณ ทำเนียบรัฐบาล

พลเอก ประยุทธ์ เน้นย้ำกับที่ประชุมว่า การดำเนินงานต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น การปรับปรุงประเภทกิจการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า, ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อรองรับการจัดเก็บภาษีในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลของ OECD (Pillar 2) และการส่งเสริมการลงทุนปี 2565 ไตรมาสแรก ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมา “มีความก้าวหน้าตามแผน” โดยขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทำงานด้วยความรอบคอบ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน

สำหรับมติที่ประชุมวันนี้ สรุปได้ดังนี้

– พิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญ เช่น อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน รวมมูลค่า 14,442.4 ล้านบาท ในกิจการ DATA CENTER จาก 2 บริษัท คือ บริษัท ทรู อินเตอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด และบริษัท เทเลเฮ้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมทั้งมีโครงการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำยางสังเคราะห์ (SYNTHETIC LATEX) และโครงการผลิต COPPER FOIL

– รับทราบรายงานภาวะการส่งเสริมการลงทุนปี 65 ไตรมาสแรก (ม.ค. – มี.ค. 65) พบว่าสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรกของปี 2565 มีจำนวนโครงการรวม 378 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

– การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่ารวม 77,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน

– อนุมัติปรับปรุงสิทธิประโยชน์การให้ส่งเสริมลงทุนกิจการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า

✅กรณีที่มีหัวจ่ายประจุไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 40 หัวจ่าย โดยเป็นประเภท QUICK CHARGE ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี

✅กรณีอื่นๆ ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินนิติบุคคล 3 ปี รวมทั้งยกเลิกเงื่อนไขห้ามรับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานอื่น

Advertisement

กฟผ. มอบส่วนลดซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 มูลค่า 500 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ พรุ่งนี้-30 มิ.ย.

People Unity News : 31 มีนาคม 2565 กฟผ. ชวนคนไทยลดใช้พลังงาน มอบส่วนลดซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 มูลค่า 500 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ ตั้งแต่พรุ่งนี้ – 30 มิ.ย.65

นายสุทธิพงษ์ เฉลิมเกียรติ ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน ในฐานะรองโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กฟผ. ชวนประชาชนร่วมใจประหยัดพลังงานผ่านแคมเปญ “Save Energy for ALL ร่วมใจประหยัดพลังงาน ผ่านวิกฤตไปด้วยกัน” ด้วยการส่งเสริมการเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ประสิทธิภาพสูงและประหยัดไฟ

โดยมอบส่วนลด 500 บาท เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 มูลค่ารวม 1,000 บาท ขึ้นไป จำนวน 10,000 สิทธิ์

เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย.65 หรือจนกว่าจะครบสิทธิ์ (สงวนสิทธิ์พนักงาน กฟผ. งดเข้าร่วมโครงการ)

เงื่อนไขการรับสิทธิ์ :

– แสดงบัตรประชาชน พร้อมสำเนาหรือรูปถ่ายทะเบียนบ้านที่มีรหัสประจำบ้าน ณ จุดขายที่เข้าร่วมโครงการ จำกัดครอบครัวละ 1 สิทธิ์

– แสดงหลักฐานการเพิ่มเพื่อนใน LINE@EGAT หรือ Facebook : กฟผ. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย อย่างใดอย่างหนึ่ง

– ต้องใช้สิทธิ์ภายในวันที่ลงทะเบียนรับสิทธิ์เท่านั้น

สำหรับห้างสรรพสินค้าและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ โฮมโปร เมกาโฮม เดอะมอลล์ ดิเอ็มโพเรียม สยามพารากอน บลูพอร์ต พาวเวอร์บาย แกรนด์โฮมมาร์ท ไทวัสดุ baan&Beyond ร้านค้าในสังกัดสมาคมผู้ค้าเครื่องปรับอากาศไทย และร้านสหกรณ์ผู้ปฏิบัติงาน กฟผ.

Advertisement

สุชาติ ปลื้ม! แฟคตอรี่ แซนด์บ็อกซ์ สร้างผลประกอบการกลุ่มยานยนต์ จ่ายโบนัสสูงสุด 8 เดือน

People Unity News : 27 มี.ค.65 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงปี 2564 ส่งผลให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นรายได้สําคัญของประเทศได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง แต่ขณะเดียวกัน ธุรกิจภาคส่งออกที่มีภาคแรงงานกว่า 2 ล้านคน ใน 4 สาขา กลับเติบโต ได้แก่ อาหาร เครื่องมือแพทย์ ยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นผลพวงจากการดำเนินการโครงการแฟคตอรี่ แซนด์บ็อกซ์ (Factory Sandbox) ของกระทรวงแรงงานตามนโยบายรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้กระทรวงแรงงานบูรณาการร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการโครงการดังกล่าวด้วยหลักการเศรษฐศาสตร์คู่กับสาธารณสุข ทำให้ธุรกิจส่งออกเติบโต โดยตัวเลขการส่งออกเดือนธันวาคม 2564 ขยายตัวถึงร้อยละ 17.14 ซึ่งสูงสุดในรอบ 11 ปี ทะลุเป้าหมาย คิดเป็นมูลค่ารวม 2.71 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นผลพวงจากนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นการจ้างงานช่วยพยุงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการแฟคตอรี่ แซนด์บ็อกซ์ ที่ช่วยพยุงการจ้างงานในอุตสาหกรรมการผลิตกว่าร้อยละ 30 จากผู้ประกันตน 11 ล้านคน ทำให้เศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมสามารถเดินหน้าต่อไปได้

นายสุชาติ กล่าวต่อไปว่า หลังจากที่ได้ทราบผลประกอบการในช่วงปีที่ผ่านมาสถานประกอบกิจการและสหภาพแรงงานในกลุ่มยานยนต์ได้เริ่มพูดคุยพิจารณาเรื่องของโบนัสและสวัสดิการต่างๆ ตามข้อเรียกร้อง ซึ่งหลายแห่งได้พิจารณาเสร็จสิ้นและทำข้อตกลงโดยใช้การเจรจาด้วยระบบการบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานที่ดี อาทิ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ทำข้อตกลงกับสหภาพแรงงานอีซูซุ ประเทศไทย เพิ่มสวัสดิการให้ลูกจ้างในปี 2565 โดยอัตราการขึ้นเงินเดือน 5.3 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มโบนัส 8 เดือน บวกเงินพิเศษ 27,000 บาท ซึ่งสูงกว่าในปี 2564 ที่มีอัตราการขึ้นเงินเดือน 4.43 เปอร์เซ็นต์ โบนัส 7 เดือน บวกเงินเพิ่มพิเศษ 19,000 บาท บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ปรับค่าจ้าง 4.2 เปอร์เซ็นต์ บวก 350 บาท จ่ายโบนัส 7.5 เดือน บวกเงินเพิ่มพิเศษ 50,000 บาท และบริษัท ฮีโน่มอเตอร์ แมนูแฟคเจอรี่ ประเทศไทย จำกัด ปรับค่าจ้าง 4.2 เปอร์เซ็นต์ บวก 350 บาท จ่ายโบนัส 7.5 เดือน บวกเงินเพิ่มพิเศษ 50,000 บาท เป็นต้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานตามโครงการแฟคตอรี่ แซนด์บ็อกซ์ (Factory Sandbox) ตามนโยบายของรัฐบาลซึ่งทำให้ธุรกิจส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์เกิดการจ้างงานต่อเนื่อง ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ลูกจ้างกลุ่มยานยนต์มีคุณภาพชีวิตที่ดี ช่วยสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศให้พ้นวิกฤตช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

Advertising

กอช. จับมือ ธ.ก.ส. ส่งเสริมการออมให้เกษตรกรทั่วประเทศ เพิ่มความมั่นใจออกสมุดเงินออมให้

People Unity News : กอช. ผนึกกำลัง ธ.ก.ส. ส่งเสริมการออมให้ครอบคลุมเกษตรกรทั่วประเทศ  พร้อมเพิ่มความมั่นใจออกสมุดเงินออมให้

19 มี.ค. 2565 ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตดอกเบญจมาศแปลงใหญ่บ้านตาติด ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี นายอาคม  เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือการให้บริการหน่วยรับสมัครสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ ระหว่าง นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยมี นางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ รองปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ ร่วมเป็นสักขีพยาน และ นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วยประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

หลังพิธีลงนาม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภาครัฐให้ความสำคัญกับการวางแผนออมเงินของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยได้กำหนดให้การออมเป็นวาระแห่งชาติ มุ่งหวังให้ประชาชนได้มีความมั่นคงในบั้นปลายชีวิตหลังอายุ 60 ปี  พร้อมสร้างวินัยการออมในทุกช่วงวัย ผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ซึ่งถือเป็นกองทุนการออมภาคประชาชน เป็นกลไกส่งเสริมการออมของประชาชนที่เป็นแรงงานนอกระบบไม่มีสวัสดิการรองรับ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา อสม. พ่อค้าแม่ค้า เพียงแค่สมัครเป็นสมาชิก กอช. ในส่วนของ ธ.ก.ส. เป็นธนาคารที่ให้บริการกับเกษตรกรและประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะในภาคชนบท โดยยังมีการส่งเสริมการออมให้สถานศึกษาในรูปแบบโรงเรียนธนาคารแก่นักเรียน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทั้ง 2 หน่วยงาน ได้ร่วมกันผนึกกำลังขับเคลื่อนส่งเสริมการออมให้ประชาชน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ได้มีการตระหนักถึงการวางแผนทางการเงิน เพื่อให้มีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณโดยเฉพาะในวันที่ไม่มีแรงทำงาน จะได้มีเงินออมส่วนนี้ไว้ใช้จ่ายรายเดือน นอกจาก ธ.ก.ส. จะเป็นหน่วยรับสมัคร และส่งเงินออมของสมาชิกให้ กอช. แล้ว ธ.ก.ส. ยังพร้อมเป็นหน่วยให้บริการออกสมุดเงินออม (Passbook) ให้แก่สมาชิก กอช. เพื่อใช้ในการตรวจสอบยอดเงินออมของตนเอง ยอดเงินที่รัฐบาลจ่ายสมทบ รวมถึงผลประโยชน์เพิ่มจากการเงินออมสะสมและเงินสมทบจากรัฐ  เพื่อให้สมาชิกมีความเชื่อมั่นในการออม นอกจากนี้สมาชิกยังสามารถดูความเคลื่อนไหวของเงินออม กอช. ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน “กอช.” ได้ด้วย โดยความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันส่งเสริมให้ คนไทยได้รู้จักออมเงินกับ กอช. อีกทั้งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนคนไทยให้ดีขึ้น โดยไม่เป็นภาระของลูกหลานในยามชรา

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการสร้างหลักประกันที่มั่นคงในวัยเกษียณให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เริ่มต้นตั้งแต่วัยเรียนอายุ 15 ปี จนเข้าสู่วัยทำงานถึงอายุ 60 ปี ออมขั้นต่ำเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐตามช่วงอายุสูงสุด 100% หรือ ไม่เกิน 1,200 บาท ต่อปี สมาชิกจะได้รับเงินสมทบจากรัฐในเดือนถัดไป การส่งเงินออมสะสมกับ กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ ไม่จำเป็นต้องออมเท่ากันทุกปี สมาชิกสามารถส่งเงินออมได้ตามกำลัง สามารถส่งเงินออมตั้งแต่อายุยังน้อย จำนวนเงินไม่มาก จะได้มีบำนาญใช้ตลอดชีพ

ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนส่งเสริมการออม พร้อมให้บริการสมาชิก กอช. ด้วยดีมาตลอด อีกทั้งเป็นหนึ่งในหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุด ปัจจุบัน กอช. มีจำนวนสมาชิกประมาณ 2,467,437 คน กองทุนมีมูลค่าสินทรัพย์ ทั้งสิ้น 10,832.34 ล้านบาท มีสมาชิก กอช. เป็นผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรสูงสุด คิดเป็น 46%  ช่วงอายุสมาชิกที่มีการออมสูงสุด ในช่วงอายุ 31 – 50 ปี คิดเป็น 42%  มีสมาชิก กอช. ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 44% อยู่พื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 117,336 คน เงินออมรวม 208,441,199.76 บาท  (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565) และในครั้งนี้ทาง ธ.ก.ส. ได้เพิ่มการให้บริการแก่สมาชิก กอช. ในการเป็นหน่วยให้บริการออกสมุดเงินออม (Passbook) ตามความต้องการของสมาชิกได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยสมาชิกจะสมัครหรือส่งเงินออมกับ กอช. ที่ไหน ก็สามารถขอรับสมุดเงินออม กอช. ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ซึ่งทาง ธ.ก.ส. ได้อำนวยความสะดวกในการพิมพ์รายการเคลื่อนไหวทางบัญชีให้กับสมาชิก ทั้งเงินออมสะสม เงินสมทบจากรัฐ ผลประโยชน์ของเงินออมสะสมและเงินสมทบจากรัฐ

นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้เล็งเห็นความสำคัญของการออม เพื่อสวัสดิภาพของประชาชนในด้านการวางแผนทางการเงิน โดยที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้เป็นหน่วยให้บริการ ทั้งการรับสมัครสมาชิก กอช.และ ส่งเงินออมสะสม  โดยมีบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ (Direct Debit) รายเดือน ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ธ.ก.ส. ได้ให้บริการสมาชิก กอช. จำนวน 1,112,703 คน เป็นเงินจำนวนกว่า 2,645 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565) โดยในปีนี้ ธ.ก.ส. ได้ร่วมมือกับ กอช. ยกระดับการให้บริการ  ด้วยการออกสมุดเงินออมและบริการพิมพ์รายการเคลื่อนไหวในบัญชีแก่สมาชิก กอช. ที่ต้องการทราบจำนวนเงินสมทบของตัวเอง เงินสมทบจากรัฐบาล และผลประโยชน์เพิ่มจากการออมอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความอุ่นใจในการสะสมเงินออมมากยิ่งขึ้น และสามารถนำไปเป็นข้อมูลเพื่อวางแผนการเงินของตนเองต่อไป ทั้งนี้ ธ.ก.ส. พร้อมเปิดให้บริการออกสมุดเงินออมสะสม กอช. (Passbook) เพียงสมาชิกแสดงบัตรประจำตัวประชาชนติดต่อขอเข้ารับสมุดออมเงิน กอช. ได้ตั้งแต่วันนี้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ที่ ธ.ก.ส. 1,020 สาขาทั่วประเทศ

Advertising

ครม.ต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้แรงงานกัมพูชา-ลาว-เมียนมาที่ครบวาระปี 65 ออกไปอีก 2 ปี

{"source_sid":"FAF6640E-14D6-4273-BD06-96F95C3DDE5C_1591179127186","subsource":"done_button","uid":"FAF6640E-14D6-4273-BD06-96F95C3DDE5C_1591179127182","source":"other","origin":"gallery"}

People Unity News : ครม. ไฟเขียว ต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้แรงงาน “กัมพูชา – ลาว – เมียนมา” ที่ครบวาระจ้างงาน 4 ปีในปี 65 ออกไปอีก 2 ปี

17 มีนาคม 2565 ที่ประชุม ครม. (15 มี.ค. 65) มีมติเห็นชอบให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ที่เข้ามาทำงานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการจ้างงาน (Agreement) ในปี 61 และมีวาระการจ้างงานครบ 4 ปีในปีนี้ (1 ม.ค. 65 – 31 ธ.ค. 65) นั้น

สามารถดำเนินการขออนุญาตทำงานหรือขอต่ออายุใบทำงาน และขอรับการตรวจอนุญาตให้อยู่เป็นการชั่วคราวต่อไปได้อีก “ไม่เกิน 2 ปี” โดยไม่ต้องเดินทางกลับออกไป

มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศไทย สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ รวมทั้งเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น

ปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU จำนวน 106,580 คน แบ่งเป็นสัญชาติกัมพูชา 26,840 คน ลาว 25,504 คน และเมียนมา 54,236 คน โดยทางการของประเทศกัมพูชา ลาวและเมียนมา ได้มีหนังสือเห็นชอบกับมาตรการดังกล่าวแล้ว

Advertising

ประยุทธ์ เตรียมเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ท่าอากาศยานเบตง จันทร์ที่ 14 มี.ค.นี้

People Unity News : ประยุทธ์ เตรียมเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ท่าอากาศยานเบตง จันทร์ที่ 14 มี.ค.นี้

12 มีนาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเป็นประธานเปิด “เที่ยวบินปฐมฤกษ์  ท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา” วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ณ อาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานเบตง ตำบลยะรม อำเภอเบตง จังหวัดยะลา

นายธนกรกล่าวว่า สนามบินเบตง เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2560 แล้วเสร็จเมื่อปี 2562 อาคารที่พักผู้โดยสาร มีพื้นที่ประมาณ 7,000 ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารในชั่วโมงเร่งด่วนได้ประมาณ 300 คนต่อชั่วโมง และรองรับผู้โดยสารได้ 876,000 คนต่อปี ทางวิ่งหรือรันเวย์มีขนาดความยาว 1,800 เมตร รองรับได้เฉพาะอากาศยานขนาดเล็ก เช่น เครื่องบินแบบใบพัด ATR 70-80 ที่นั่ง สำหรับเส้นทางบินและการขึ้นลงของอากาศยาน จะอยู่ในน่านฟ้าของประเทศไทยเท่านั้น ไม่มีล้ำเข้าไปในน่านฟ้าของประเทศเพื่อนบ้าน เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อแก้ปัญหาการเดินทางสู่อำเภอเบตงที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงชันไม่สะดวกต่อการเดินทางให้สัญจรไปมาได้สะดวก ปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่

“สนามบินเบตง จังหวัดยะลา เริ่มหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2558 ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเห็นชอบในหลักการให้กรมท่าอากาศยาน (ทย.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง ระยะเวลาดำเนินโครงการ 3 ปี (2559 – 2561) เพื่อจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของอําเภอเบตงของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีมุ่งหวังให้ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะส่งผลในเรื่องความมั่นคงในพื้นที่ด้วย อีกทั้งสามารถสร้างความร่วมมือระหว่างการพาณิชย์ในระดับประเทศและต่างประเทศ และยังส่งเสริมการรองรับตลาดการท่องเที่ยว การพาณิชย์ เพื่อการลงทุนภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น โดยเฉพาะรัฐปีนัง เคดาร์ เปรัค ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดน รวมทั้งเพื่อเป็นการพัฒนาสภาพสังคม จิตวิทยา การเมือง การปกครองของ ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งเพื่อสนองนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและนโยบายเปิดการค้าเสรีอาเซียนของรัฐบาล” นายธนกร กล่าว

Advertising

ก.คลังเผยยอดใช้จ่ายการบริโภค 3 โครงการเพิ่มกำลังซื้อ มีผู้ใช้สิทธิ 40.72 ล้านราย วงเงิน 53,889.99 ลบ.

People Unity News : ก.คลังเผยยอดใช้จ่ายการบริโภคผ่าน 3 โครงการเพิ่มกำลังซื้อ มีผู้ใช้สิทธิรวม 40.72 ล้านราย ยอดใช้จ่ายรวม 53,889.99 ล้านบาท

4 มี.ค. 2565 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศปี 2565 ซึ่งประกอบด้วย โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 4 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษระยะที่ 2 และโครงการคนละครึ่งระยะที่ 4 พบว่า จากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 3 มีนาคม 2565 ณ เวลา 23.00 น. มีผู้ใช้สิทธิทุกโครงการรวม 40.72 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายรวมทั้งหมด 53,889.99 ล้านบาท โดยสรุปผลการใช้จ่ายได้ ดังนี้

  1. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 13.28 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 4,116.12 ล้านบาท
  2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษระยะที่ 2 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 1.21 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 352.97 ล้านบาท
  3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 (ประชาชนกลุ่มเดิมฯ) จำนวน 25.46 ล้านราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 48,384.0 ล้านบาท และมีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 (ประชาชนกลุ่มใหม่ฯ) จำนวน 7.7 แสนราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 1,036.9 ล้านบาท รวมมีผู้ใช้สิทธิทั้งหมดจำนวน 26.23 ล้านราย และยอดการใช้จ่ายรวม49,420.9 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 25,104.7 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 24,316.2 ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสมแบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 20,417.0 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 8,553.9 ล้านบาท ร้านOTOP 2,213.6 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 17,279.6 ล้านบาท ร้านบริการ 867.7 ล้านบาท และกิจการขนส่งสาธารณะ 89.1 ล้านบาท โดยมีประชาชนที่ได้รับสิทธิทั้งหมด 26.38 ล้านราย ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มเดิมฯ ที่กดยืนยันสิทธิและมีการใช้สิทธิโครงการฯ ระยะที่ 4 แล้ว จำนวน 25.46 ล้านราย จากจำนวนผู้ใช้จ่ายโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 26.35 ล้านราย สำหรับผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้วจำนวน 1.35 ล้านราย โดยเป็นผู้ประกอบการรายใหม่  2.58 หมื่นราย

สำหรับข้อมูลการใช้จ่ายสะสมผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีการใช้จ่ายสะสม 1,424.7 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 737.3 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย  687.4 ล้านบาท และในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มมีจำนวน 9.23 หมื่นราย

ทั้ง 3 โครงการดังกล่าวข้างต้น ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2565 ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการร้านค้ารายใหม่ยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ผ่าน www.คนละครึ่http://xn--72c.com/ หรือติดต่อเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยในพื้นที่หรือสาขาธนาคารกรุงไทยฯ ได้อย่างต่อเนื่องจนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศปิดรับสมัคร

Advertising

Verified by ExactMetrics